นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย ในฐานะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปาฐกถาเรื่อง "โลกเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน ประเทศไทยจะเปลี่ยนไหม" โดยได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจปีหน้ามีสัญญาณแนวโน้มการเติบโต แต่ไม่ใช่แบบก้าวกระโดด เป็นการเติบโตอย่างช้า ๆ เนื่องจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก จากปัญหาสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน วิกฤตราคาพลังงานแพง สินค้าแพง
ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว กลับมีบางประเทศที่ระบบเศรษฐกิจจะสวนทาง คือ ประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีการเตรียมตัวที่ดี เช่น อินโดนีเซีย ที่ประสบความสำเร็จจากการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น โดยออกกฎหมายแยกความรับผิดชอบ และอำนาจของส่วนกลางและท้องถิ่นออกจากกัน เกิดการแข่งขันการสร้างจีดีพีระหว่างท้องถิ่น ทำให้จีดีพีประเทศอินโดนีเซียโตอย่างมีเสถียรภาพเฉลี่ย 7% มาหลายปี
"การที่อินโดนีเซียกลายเป็นดาวจรัสแสงในขณะนี้ เกิดจากวิสัยทัศน์และการเอาจริงเอาจังของผู้นำประเทศ ขณะที่ประเทศไทยก็เริ่มทำพร้อม ๆ กับอินโดนีเซีย แต่หยุดอยู่แค่ในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การปฏิบัติ" นายสมคิด ปาฐกถาในงาน "วันธรรมศาสตร์ 10 ธันวาคม 2565 งานคืนสู่เหย้า"
ขณะที่เวียดนามก็เป็นประเทศที่น่าจับตา โดยก่อนหน้านี้ 3 ปี ตนเคยบอกว่าเวียดนามกำลังหายใจรดต้นคอประเทศไทย แต่มาวันนี้เวียดนามแซงหน้าไปแล้ว มีการเตรียมพร้อมเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล ปฏิรูปการศึกษา โดยมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาการศึกษาให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต ซึ่งการเตรียมพร้อมของเวียดนามก็ทันในช่วงยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และได้อานิสงค์จากธุรกิจด้านไอทีที่ย้ายฐานการผลิตจากจีนเข้าสู่เวียดนาม
"สิ่งที่ทำให้ทั้ง 2 ประเทศ เป็นดาวจรัสแสงของอาเซียน ก็คือการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจนับร้อยฉบับ และการออกใบอนุญาตให้ง่ายต่อการลงทุนทำธุรกิจ และเอื้อต่อการเจริญเติบโตของประเทศ" นายสมคิดกล่าว
พร้อมมองว่า อาเซียนยังเป็นภูมิภาคที่สำคัญ ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างจีนกับอเมริกา โดยจะกลายเป็นโอกาสสูงสุดของอาเซียนในการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้โอกาสสำคัญอยู่ที่ 2 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ขณะเดียวกัน ประเทศกัมพูชาก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตากับโอกาสตรงนี้ วันนี้หากประเทศไทยยังแข่งกับเขาไม่ได้ ก็จะสูญเสียความจรัสแสงในอาเซียน การลงทุนต่าง ๆ จะน้อยลง
อย่างไรก็ตาม มองว่าประเทศไทยยังมีโอกาส ซึ่งหัวใจสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาส คือ ต้องกระจายอำนาจ กระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่แค่กระทรวง และส่วนกลาง ต้องสร้างผู้นำใหม่ ๆ ในท้องถิ่น หากไม่จริงจังกับการปฏิรูปนี้ ก็ยากที่จะเห็นโอกาสและความเปลี่ยนแปลง
"ผมไม่อยากให้เราคิดแต่เรื่องการจะเลือกตั้ง เพราะกว่าจะเลือกตั้ง ประเทศไทยจะเสียโอกาสและเสียเวลาจนสายเกินไป การเลือกตั้งยังไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะเลือกมาแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม พรรคร่วมรัฐบาลเหมือนเดิม หรืออาจจะแย่กว่าเดิม รัฐมนตรีเหมือนเดิมหรืออาจจะดีกว่าเดิม ซึ่งวันนี้ผมอยากให้นายกรัฐมนตรีจริงจัง ใช้เวลาที่มีทำให้ดีที่สุด เพราะประเทศไทยเสียเวลาไปมากแล้ว ให้ลืมเรื่องเลือกตั้งไปก่อน วันนี้ผมไม่ได้มาว่าใคร ไม่มีประเด็นการเมือง ขอให้กำลังใจทุกพรรคการเมืองให้ทำประชาธิปไตยให้เป็นประชาธิปไตยแท้จริง" ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าว