นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) เตรียมจัดกิจกรรม "ครอบครัวเพื่อไทย : อีสานยามใด๋ เพื่อไทยท่อนั่น" ในวันที่ 15 ม.ค.66 ที่ จ.อุดรธานี โดยในช่วงเช้า ทีมครอบครัวเพื่อไทย จะลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนที่ อ.บ้านดุง และ อ.เพ็ญ เพื่อนำเสนอนโยบายที่พรรคฯ ได้ประกาศเอาไว้ รวมทั้งรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน
จากนั้น ในเวลา 16.30 น.เป็นต้นไป จะมีการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่ทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.อุดรธานี นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค, นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค, นายอดิศร เพียงเกษ โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฏร, น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด
"จะเป็นครั้งแรกที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ขึ้นปราศรัยใหญ่เวทีกลางแจ้ง ในบรรยากาศของการเตรียมการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศไทย โดยจะนำเสนอนโยบาย และเป้าหมายไปสู่การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจากฝ่ายประชาธิปไตยในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง" นายณัฐวุฒิ กล่าว
พร้อมระบุว่า การจัดกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทย : อีสานยามได๋ เพื่อไทยท่อนั่น ที่ จ.อุดรธานี เพื่อเป็นการยืนยันว่าในปี 2566 นี้จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นปีแห่งการทวงคืนอนาคตจากรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการ ที่ไร้ความสามารถ และอยู่ในอำนาจมา 8 ปี ทั้งนี้แม้หลายฝ่ายจะมองว่า จ.อุดรธานี เป็นเมืองหลวงทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน เพราะชนะเลือกตั้งยกจังหวัดหลายสมัย แต่พรรคเพื่อไทย ไม่รู้สึกว่าพื้นที่ใดหรือจังหวัดใดสำคัญมากหรือน้อยกว่า ทุกจังหวัดมีความสำคัญสำหรับการทำงานทางการเมืองของพรรคเท่าเทียมกัน
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า หลังการจัดกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทยที่ จ.อุดรธานี แล้วจะมีการจัดกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทยไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ ภาคกลาง อีสานใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ จนกว่าจะมีการยุบสภา เมื่อมีการยุบสภาแล้ว พรรคเพื่อไทยจะจัดเวทีปราศรัยในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อประกาศคิกออฟนโยบายชุดใหญ่ เป็นนโยบายในโค้งสุดท้ายเพื่อเข้าสู่สนามเลือกตั้ง
เป้าหมายของพรรคเพื่อไทย คือการมุ่งเป้าที่การชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ เพื่อเอาชนะกติกาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม วางเอาไว้ให้ได้ ส่วนตัวคาดการณ์ว่า การยุบสภาจะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือน มี.ค.นี้ เป็นการคาดคะเนจากตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยึดติดกับอำนาจ จะกอดอำนาจไว้ให้นานที่สุดจนวินาทีสุดท้าย
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะประกาศยุบสภาในช่วงเวลาดังกล่าว คงไม่ใช่การปล่อยวาง แต่เป็นการเปิดทางให้ ส.ส.ที่ย้ายพรรค เข้าร่วมอำนาจได้ ซึ่งตนและพรรคได้มองข้ามวาระการยุบสภาหรือครบวาระอายุสภาไปแล้ว แต่จะมุ่งเป้าไปที่การทำงานหนักในสนามเลือกตั้ง นำเสนอนนโยบายไปสู่พี่น้องประชาชน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ เปิดตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติด้วยว่า นึกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงแสนยานุภาพทางการเมืองอย่างน่าตื่นตาตื่นใจหลังจากยึดครองอำนาจต่อเนื่องมา 8 ปี แต่พบว่า "ไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่เป็นเหล้าเก่าในขวดแตก" คือ การรวมเอาคนที่แตกออกจากพรรคต่างๆ ทั้งจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเล็ก มาอยู่ด้วยกัน และไม่พบว่ามีบุคคลที่เป็นที่รู้จัก หรือเป็นที่ยอมรับกันในสังคม เป็นคนใหม่ทางการเมือง ปรากฎตัวร่วมงานกับพล.อ.ประยุทธ์ แต่อย่างใด ดังนั้นจึงมองไม่เห็นอนาคต เห็นแต่อดีต เพราะเต็มไปด้วยอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี ตนจึงเชื่อว่าจะส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีในไม่ช้า
นายณัฐวุฒิ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจเข้าสู่การเมืองเต็มตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ แท้จริงไม่ใช่เป้าหมายแค่การเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีก 2 ปีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่อีกฟากฝั่งหนึ่งมี ส.ว.กลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนไหว สับไพ่รอหรือไม่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ได้ศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 โดยระบุว่ามีปัญหาที่น่าสนใจในบทบัญญัติในมาตรา 158 ว่าด้วยวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี โดย ส.ว. กลุ่มนี้ชี้ว่ามีบทบัญญัติดังกล่าวเป็นเรื่องที่ควรจะพิจารณาแก้ไข ซึ่งตนได้ตั้งข้อสังเกตว่า การกำหนดบทบัญญัตินี้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ผ่านมา ส.ว.ไม่เคยมีปฏิกิริยา ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยมีท่าทีที่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด ส.ว. 250 คน ยกมือตามสั่งมาตลอด แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ครบ 8 ปีจริง กลับมีมติเห็นตรงกันว่ามาตรานี้มีปัญหา หมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะอาศัยเสียง ส.ว. 250 คน เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ต้องใช้เสียงในสภาและเสียง ส.ว.แก้ไขมาตรานี้แน่นอน
"ถ้าไม่ได้เตรียมกันไว้ ก็ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ พูดให้ชัดว่า หลังเลือกตั้งแล้วจะอยู่แค่เวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ผมไม่ได้ก้าวก่ายงานการเมืองของท่าน แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ พูดให้ชัดว่าไม่ใช่เตรียมกันไว้ ไม่ใช่การสับไพ่รอ กะว่าเลือกตั้งให้เสร็จแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ มาจั่วน็อกชนะ ผมขอส่งสัญญาณให้ประชาชนรู้เท่าทัน วันนี้หากเส้นทางที่จะยุติ พล.อ.ประยุทธ์ มีทางเดียวคือการได้มาซึ่งรัฐบาลประชาธิปไตย ซึ่งจะเกิดได้คือ จำเป็นต้องมีพรรคใดพรรคหนึ่งในฟากฝั่งประชาธิปไตยชนะเกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร ยืนหนึ่งเอาไว้ก่อน ไม่เช่นนั้น ไม่ใช่แค่ 2 ปี แต่จะเป็น 4 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ต่อ ผมขอเรียกร้องโดยตรงถึง พล.อ.ประยุทธ์ ผมหวังใจว่าคนที่ประกาศตัวไม่เคยกลัวอะไร เป็นลูกผู้ชาย สง่าผ่าเผยมาตลอด คงไม่อ้ำอึ้ง พูดให้ชัด เพราะคนทั้งประเทศรู้อยู่แล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไร" นายณัฐวุฒิ กล่าว
ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า สภาพการเมืองไทยในขณะนี้ คือความล่มสลายทั้งระบบของการเมืองไทย ภายใต้เป้าหมายปฏิรูปหลังรัฐประหาร คือใบเสร็จที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศเอาไว้ในเมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 เป็นคำลวงโลก ไม่มีการปฏิรูปใดๆ การเมืองย้อนหลังออกไปหลายสิบปี บทบาทของฝ่ายการเมืองในสภา กลายเป็นพื้นที่พบปะเพื่อต่อรองผลประโยชน์ในการย้ายข้างเท่านั้น
"ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ สภาไม่เรียกว่าล่ม แต่เรียกว่าเละ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยแสดงความรู้สึกรู้สา เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ถือกำเนิดในสภา จึงไม่ได้เคารพในแนวทางนี้ คิดอยู่อย่างเดียวคือหาคนเข้าพรรคให้มากๆ สัปปายะสภาสถานกลายเป็นสถานที่สับประยุทธ์ของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ต้องการเพิ่มกล้วย ดึงตัว ส.ส.เข้าสภาเท่านั้น ถือว่าเป็นความอัปยศ และไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ต้องหยุดลง ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ได้" นายณัฐวุฒิ ระบุ