น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ ปราศรัยว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โกงทั้งตระกูล และหากยังมีระบบทักษิณ บ้านเมืองจะเหลือแต่เสา โดยน.ส.แพทองธาร กล่าวด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยพอใจว่า สมัยที่คุณพ่อเป็นนายกฯ ได้ทำนโยบายมากมายให้ประเทศ ทุกวันนี้ก็ยังใช้กันอยู่ คงไม่ได้เหลือแค่เสา ที่พูดเช่นนี้ก็เป็นแค่วาทะทางการเมือง
"เราก็หาเสียงเต็มที่ โดยการเอาผลงานที่เราเคยทำได้จริง มายื่นให้กับประชาชนมาตอกย้ำ แต่เขาไม่มีของจริง เขาก็ต้องนำวาทะแบบนั้นมา ซึ่งเป็นเรื่องปกติ มองว่าเป็นเรื่องใส่สีทางการเมือง" น.ส.แพทองธาร ระบุ
ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า หากมองมิติทางการเมือง เป็นการปราศรัยที่ต้องระวังข้อกฎหมาย จะเป็นการใส่ร้ายทางการเมืองหรือไม่ ก็ต้องพิสูจน์ ระหว่างระบอบทักษิณ ที่เขาพยายามยกเป็นวาทกรรมปลุกผีขึ้นมา กับระบอบประยุทธ์ ใน 8 ปี ที่ประชาชนประจักษ์ว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจก็ทำลายทุกอย่าง โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ดังนั้น ก็ต้องพิสูจน์ว่าระบอบไหนเป็นที่ยอมรับของประชาชน
"การกล่าวหาว่าโกงทั้งตระกูล เป็นการใส่ร้ายอย่างแน่นอน ขอฝากให้ระมัดระมัง เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ อายุมากแล้ว สมองก็ควรมากตามอายุไปด้วย" นพ.ชลน่าน กล่าว
ส่วนกรณีที่นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. ระบุว่า แม้พรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ แต่ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะไม่สามารถรวมเสียงได้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นที่แรงมากในระบอบประชาธิปไตย และถือว่าไม่เคารพเสียงของประชาชน และไม่ให้เกียรติประชาชน
"เป็นคอมเมนต์ที่แรงมาก ในระบอบประชาธิปไตย กล้าคอมเมนต์ออกมาแบบนี้ไม่ดีเลย ทำไมไม่เคารพเสียงของประชาชน ไม่ใช่คอมเมนต์ที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย แล้วเดี๋ยวประชาชนจะเห็นถึงแนวคิดของคนที่ไม่เคารพเสียงของประชาชน ก็เป็นแบบนั้น เป็นเรื่องน่าอาย ไม่ให้เกียรติประชาชน" หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เกิน 250 เสียงแล้ว ส.ว.ควรโหวตตามเสียงของประชาชนหรือไม่นั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การที่พรรคเพื่อไทยประกาศขอ 250 เสียง เพื่อต้องการให้เท่าแต้มต่อของ ส.ว.ที่มีอยู่ หากพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมาก เชื่อว่า ส.ว. จะมีจิตสำนึก ความรับผิดชอบ ที่เห็นว่าประชาชนให้อาณัติกับพรรคเพื่อไทย
"ดังนั้น คุณ (ส.ว.) ไม่มีสิทธิปฏิเสธเป็นอื่น ต้องมาร่วมโหวตนายกฯ ส่วนจะโหวตเลือกใครก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเราได้ 250 แล้ว ส.ว.ไปโหวตให้พล.อ.ประยุทธ์ หรือใครมาเป็นนายกฯ ด้วยเสียงข้างน้อยมาเป็นรัฐบาล ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายประเทศชาติ ทำร้ายประชาชน แล้วจะรอดได้อย่างไร แค่พิจารณางบประมาณก็ไม่ผ่านแล้ว เดือนเดียวยื่นอภิปายไม่ไว้วางใจก็จบแล้ว ดังนั้น คุณ (ส.ว.) จะทำไปทำไม" นพ.ชลน่าน กล่าวว่า
ส่วนที่ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จำเป็นต้องยุบสภาฯ หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า กฎหมายลูกกับการยุบสภาฯ เป็นคนละเรื่องกัน แต่ความเหมาะสมเมื่อมีกฎหมายแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็ควรคืนอำนาจให้กับประชาชน
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ จ.ชุมพร เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.) ที่เหมือนเป็นการเกทับว่าได้ทำประโยชน์ให้กับประชาชนมากกว่าหลายรัฐบาลว่า คงไม่ใช่การเกทับ แต่เป็นการ "เก๊ทับ" มากกว่า เพราะสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศ กับสิ่งที่ปรากฏกับประชาชน 8 ปี มันสวนทางกัน หากพล.อ.ประยุทธ์ สร้างประโยชน์ประชาชนในฐานะนายกฯ จริง จะไม่มีพรรคไหนที่สามารถประกาศตัวเป็นคู่แข่งได้เลย
พร้อมเชื่อว่า ขณะนี้ความนิยมในตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ ร่วงลงไปอยู่ลำดับท้ายๆ ดังนั้นการแสดงนโยบายของทุกพรรค ก็เป็นสิทธิ แต่การตัดสินใจเลือก ก็เป็นสิทธิของประชาชน
นายณัฐวุฒิ ยังพูดถึงภาพการขึ้นเวทีปราศรัยของพล.อ.ประยุทธ์ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักการเมืองมาตลอด ตั้งแต่อยู่ในกองทัพ มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมือง เพียงแต่ฝังตัวในกลไกรัฐ ใช้อำนาจกองทัพเล่นการเมืองโดยทรัพยากรที่มาจากภาษีประชาชน ฉะนั้น จึงเป็นเพียงปลดหน้ากากออก เพื่อให้ประชาชนเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงว่าเป็นนักการเมืองมาตลอด
ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ก็เป็นโจทย์ระหว่างสองพรรค คือ พรรคพลังประชารัฐ กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ขณะที่พรรคเพื่อไทย คิดเป็นแต่การแก้ปัญหาให้ประชาชน