พรรคพลังประชารัฐ จัดกิจกรรมระดมทุนในลักษระดินเนอร์ทอล์คขึ้นเมื่อค่ำของวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ "พลังประชารัฐ ใจบันดาลแรง" ที่ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์
โดยเป็นการจัดงานระดมทุนครั้งที่ 2 ของพรรค โดยบรรยากาศการจัดงานเริ่มคึกคักตั้งแต่ช่วงเย็น โดยมีแกนนำพรรค ส.ส.พรรค และผู้ให้การสนับสนุน ทยอยเดินทางเข้าห้องประชุมอย่างต่อเนื่องจนเต็ม 170 โต๊ะ ในราคาโต๊ะละ 3 ล้าน ขณะที่มีการเสริมที่นั่งเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งหลังจากนี้อีก 30 วัน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเปิดเผยรายชื่อผู้ที่ให้การสนับสนุนและจำนวนเงินที่สนับสนุนทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ พรรคพลังประชารัฐ ได้เคยจัดกิจกรรมระดมทุน เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 61 ภายใต้ชื่อ "ประเทศไทยหนึ่งเดียว" ที่ อิมแพ็ค ในรูปแบบโต๊ะจีนเช่นเดียวกัน แต่มีจำนวนโต๊ะ 200 โต๊ะ มูลค่าโต๊ะละ 3 ล้านบาท โดยระดมทุนได้ทั้งสิ้น 600 ล้านบาท
ส่วนไฮไลท์ของงานวันนี้ อยู่ที่การปาฐกถาพิเศษของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งได้ยืนยันความพร้อมที่จะทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หากผู้สมัคร ส.ส.และพรรคได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
"ถามผม ผมพร้อม อยู่ที่คนเลือก ถ้าประชาชนเลือกผม ผมก็พร้อม ถ้าไม่เลือกผมก็กลับบ้าน ผมพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกฯ แต่อยู่ที่คนเลือกนะครับ" พล.อ.ประวิตร กล่าว
พล.อ.ประวิตร ยังเล่าถึงที่มาของคำพูด "ใจบันดาลแรง" ว่า ที่ตนเคยพูดเช่นนั้นเพราะสังขารร่วงโรยไปมาก แต่อาศัยใจต่อสู้ บันดาลแรงที่ร่วงโรยไปให้มีกำลังใจ ให้ทำงานต่อไปได้ ต้องทำใจมาก่อนแรงมาทีหลัง พอพูดใจมันฟูและยิ้มกว้างอยู่แล้ว
ส่วนวลีติดปากเวลาให้สัมภาษณ์ว่า "ไม่รู้" นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่บอกว่าไม่รู้คือ ไม่รู้จริงๆ แต่มีคนที่รู้อยู่รอบตัวและหาความรู้มาใส่ในตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และวันนี้รู้แล้ว พร้อมแล้ว
นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ได้เล่าถึงเส้นทางชีวิตส่วนตัวในสมัยรับราชการทหารจนมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งพยายามทำงานให้ดีที่สุด ผ่านสงครามหลายสงคราม ตลอดเวลาทำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อกองทัพ รับใช้กองทัพบก จนกระทั่งเกษียนอายุราชการ ต่อมามีคนมาเชิญตนทำงานการเมือง โดยให้มารับตำแหน่ง รมรว.กลาโหม ซึ่งช่วงที่เข้ามาทำงานการเมืองนั้นไม่ได้ตั้งใจ ถือว่าตกบันไดพลอยโจนก็ว่าได้ แต่หลังจากทำงานการเมืองมาได้ 10 กว่าปีทำให้รู้ดีว่านักการเมืองเป็นอย่างไร ซึ่งตนให้ความเคารพทุกคน ขอให้ทำงานเพื่อบ้านเมือง เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น เพื่อเป็นฐานรากให้กับประเทศ
พล.อ.ประวิตร ยืนยันถึงความสัมพันธ์ของ 3 ป.ว่า อยู่ด้วยกันตั้งแต่สมัยเป็นผู้บังคับกองร้อย อยู่กันมาตั้งแต่ต้น ร่วมแรงร่วมใจกันมาเพื่อกองทัพตลอด จนกระทั่งตนทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก จนมาเป็น รมว.กลาโหม ทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เติบโตตามสายงานมาตามลำดับ
"ตอนเด็กๆ อยู่บ้านเดียวกัน นอนบ้านเดียวกัน ทำงานด้วยกันมาเรียบร้อย มีความสนิทสนม อยู่แบบพี่แบบน้อง ไม่มีอะไรแยกอะไรได้ แต่ความคิดการเมืองอาจไม่เหมือนกันได้" พล.อ.ประวิตร กล่าว
พล.ประวิตร กล่าวว่า ปัญหาของประเทศชาติที่อยากแก้ไขมากที่สุดนั้น พล.อ.ประวิตร ระบุว่าเป็นเรื่องความยากจน ชาวนาชาวไร่ เกษตรกรพวกหาเช้ากินค่ำ ก็ต้องดูแลคนเหล่านี้ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่ได้ต่อไป และจะทำให้ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าต่อไป
โดยสถานการณ์ทางการเมืองยังมีความเห็นต่างที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งพรรคฯ มุ่งมั่นทำงานการเมืองสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายสูงสุดนำไปพรรคไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รักษาผลประโยชน์ของชาติ ทำให้คนไทยมีความอยู่ดี กินดี มีความสุข โดยพร้อมสานสัมพันธ์กับทุกฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ สร้างพลังสามัคคี เปิดโอกาสหาทางออกร่วมกัน เพื่อนำพาประเทศไปสู่จุดหมายที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย
ภายในงาน ยังมีกิจกรรมการเสวนา "Thailand in a spinning world-ประเทศไทยในวันที่โลกหมุนเร็ว" จากนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และนายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ซึ่งเสนอปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ได้แก่ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์, ปัญหาหนี้ครัวเรือน, ปัญหาค่าเงินบาท, ปัญหาโลกร้อน, ปัญหาการกีดกันทางการค้า, ปัญหาสิ่งแวดล้อม, ปัญหาคุณภาพการศึกษา, ปัญหาความร่วมมือทางการค้าไม่คืบหน้า