การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 หลังจากที่น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายถึงกรณีที่นายปฐมพล จันทร์โอชา ซึ่งเป็นหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เปิดบริษัทรับงานด้านรับเหมาก่อสร้าง โดยใช้บ้านพักในค่ายทหาร ที่จ.พิษณุโลก เป็นสถานประกอบการ และได้รับงานประมูลของรัฐในวงเงินที่สูง ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมลุกขึ้นชี้แจงประเด็นดังกล่าว
น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่าในปี 55-56 ผลประกอบการของบริษัทขาดทุนต่อเนื่อง แต่ในปี 57 กลับเริ่มได้โครงการรัฐที่มีมูลค่าสูง และเริ่มชนะโครงการประมูล 3 โครงการ มูลค่ารวม 28 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการของกองทัพทั้งหมด และได้งานภาครัฐต่อเนื่องตลอด 8 ปีที่ผ่านมา และงานที่ชนะประมูลส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่พิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง
โดยในปี 57 บริษัทหลานชายของพล.อ.ประยุทธ์ ประมูลงานรัฐได้หลายสิบล้านบาท แต่ขณะนั้น มีเครื่องมือและอุปกรณ์เพียง 13 รายการ รวม 3.85 แสนบาท ไม่มีรายการเครื่องจักรกลหนักแม้แต่รายการเดียว จึงไม่น่าจะสามารถรับงานขนาดใหญ่ได้ แต่ถ้าจะอ้างว่า มีการเช่าเครื่องมือมาทำถ้าเป็นเช่าชั่วครั้งชั่วคราวคงจะรับฟังได้ แต่บริษัทหลานชายนายกฯ เข้าประมูลงานระดับหลักแสนถึงหลักร้อยล้านมา 8 ปีแล้ว
"พฤติกรรมของบริษัท เหมือนเป็นบริษัทนายหน้าที่ประมูลชนะ แล้วไปขายงานต่อมากกว่าที่จะดำเนินการเอง สถานการณ์แบบนี้อาจไม่มีเครื่องจักรหนัก แต่อาจจะมี "เครื่องจัดหนัก" คือ อำนาจลุง อำนาจพ่อ ที่คอย "จัดหนัก" ให้หลานหรือไม่ ถึงสามารถเข้าประมูลงานในกองทัพ ทั้งๆ ที่มีเครื่องมือไม่เพียงพอ" น.ส.จิราพร กล่าว
พร้อมกันนี้ น.ส.จิราพร ได้นำภาพสถานประกอบการที่เป็นคู่เทียบในการยื่นประมูลงาน เมื่อไปตรวจสอบกลับพบว่า ที่ตั้งของทุกบริษัทเป็นลักษณะบ้านพักเท่านั้น และตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทเหล่านี้ไม่น่าใช่บริษัทคู่เทียบ แต่น่าจะเป็นบริษัทคู่ทิพย์ เพราะสภาพบริษัทไม่น่าจะได้ใช้ดำเนินธุรกิจแน่นอน และไม่มีศักยภาพที่จะรับงานหลาย 10 ล้านบาท ดูเป็นลักษณะบริษัทนอมินีที่ใช้เป็นคู่เทียบยื่นเสนอราคา
น.ส.จิราพร กล่าวว่า การที่หลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ประมูลงานมาได้ ไม่น่าใช่เพราะ TOR แต่น่าจะเป็นเพราะนามสกุลจันทร์โอชา และบริษัทประมูลที่แข่งกับบริษัทหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ก็เสนอราคาไล่เลี่ยกัน และเป็นบริษัทเดิมๆ ที่เข้าประมูลทุกครั้ง ถือว่าเป็นการฮั้วประมูลเพื่อกีดกับบริษัทอื่นไม่ให้ได้งานหรือไม่ ถ้าเป็นแบบนี้ถือว่าเป็นการทุจริตร้ายแรง ถ้าหน่วยงานเห็นว่าเป็นการฮั้วประมูล หน่วยงานนั้นๆ สามารถยกเลิกการประมูลได้ ถ้าไม่ยกเลิกประมูล หน่วยงานนั้นอาจจะเอื้อประโยชน์ หรือสมยอมให้การเกิดฮั้วประมูล
พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลุกขึ้นชี้แจงการอภิปรายของฝ่ายค้านว่า ตนนั่งฟังมาตั้งแต่เช้าแล้ว เรื่องที่ดีก็รับไว้ และจดไว้ หลายเรื่องที่มันไม่ตรงไม่ถูกต้อง ซึ่งได้เตรียมชี้แจงไว้แล้วเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะชี้แจง แต่จำเป็นต้องหยุดตรงนี้ไว้บ้าง ไม่งั้นก็ฉวยโอกาสตรงนี้ในการหาเสียง
สำหรับสิ่งที่ฝ่ายค้านหยิบยกมาในเรื่องเศรษฐกิจได้ทำมาหมดแล้ว แต่มันยังไม่เกิดผล ในส่วนการดูแลประชาชน ทำตั้งแต่ระดับฐานราก เอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์กองทุนหมู่บ้าน ดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อย ด้วยการแก้ปัญหาความยากจน แบบมุ่งเป้า
"ส่วนเรื่องการทุจริตผิดกฎหมาย ในทางกระบวนการยุติธรรมก็ไปว่ามา การที่ท่านเอาผมไปโยงคนนั้นคนนี้ หรือญาติคนนั้นญาติคนนี้ ผมคือตัวผม ครอบครัวผม และผมไม่เคยเอื้อประโยชน์ให้กับใคร ก็ไปตรวจสอบมา"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ไม่อยากให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ก้าวล่วงอำนาจในการบริหารมากจนเกินไป เพราะเป็นคนละอำนาจกัน และบางอย่างเป็นเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินก็เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร ไม่ดีก็ร้องทุกข์กล่าวโทษ ไม่ใช่มาติติงพูดจาเสียหายแบบนี้ หลายอย่างเป็นปัญหาในเชิงบริหาร และหลายอย่างเป็นปัญหาในเชิงกฎหมาย ทุกอย่างมีหลักการหลักเกณฑ์ทั้งหมด ฉะนั้นไปตรวจสอบมา เพื่อให้เกิดความชัดเจน ก่อนที่จะกล่าวอ้างว่าใครผิดใครถูก