การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา
โดยนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ได้ใช้เวลา 1 ชั่งโมงครึ่งอภิปรายสรุปญัตติว่า วันนี้เป็นการอภิปรายครั้งสุดท้ายในรอบ 4 ปี เหมือนการสอบปลายภาคของรัฐบาล โดยฝ่ายค้านเป็นผู้ประเมิน และประชาชนเป็นผู้ให้คะแนน
การบริหารราชการตามนโยบายหลัก 12 ข้อ และนโยบายเร่งด่วน 12 ข้อ ของรัฐบาลประสบความล้มเหลว ทั้งที่ประเทศมีทรัพยากรมากมายแต่ค่าครองชีพสูงทำให้ประชาชนยังยากจนหลายระดับ ระดับหนี้เพิ่มสูงมากขึ้น ต่างชาติหนีไปลงทุนที่อื่น เศรษฐกิจฐานรากไม่ได้เข้มแข็ง เกิดความเหลื่อมล้ำ การดูแลความมั่นคงเน้นแค่เรื่องการสู้รบ ปล่อยให้เกิดปัญหาคนต่างชาติเข้ามาขยายอิทธิพลค้ายาเสพติดและฟอกเงิน ละเลยการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่พัฒนาศักยภาพของประชากร การทำงานการเมืองที่ใช้แผนเอาชนะใต้เข็มขัด
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ตนพยายามทำทุกอย่างให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไป ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากทุกคนให้ช่วยกันทำอย่างเต็มที่ด้วย แต่มีหลายปัญหาที่มีความซับซ้อนซึ่งต้องใช้เวลาในการแก้ไขกว่าจะไปถึงเป้าหมาย โดยจะนำข้อเสนอแนะที่ได้จากการอภิปรายไปปรับปรุงแก้ไข
"เข้าใจว่าทุกคนอาจมีความปรารถนาดี แต่อาจมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกันหลายเรื่อง ซึ่งต้องทำความเข้าใจระหว่างกันให้ได้เพื่อให้เดินหน้าประเทศได้ในวันข้างหน้า และหลายอย่างต้องแก้ไขปรับปรุงทุกวัน เพราะสถานการณ์เปลี่ยนตลอด คนที่เขารอความหวังจากเรา 60 กว่าล้านคน ถ้าเราไม่ทำอะไรประเทศชาติก็เดินหน้าไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลต้องดำเนินการเรื่องการสร้างความเท่าเทียมเรื่องโอกาส ให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากสาธารณูปโภคพื้นฐาน สามารถเข้าถึงดิจิทัลออนไลน์ เพื่อเพิ่มอาชีพ เพิ่มรายได้ และสร้างความเท่าเทียมเรื่องกฎหมาย อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันอย่างเสมอภาค
"ในเรื่องต่างๆ เราก็ไม่ตกเทรนด์ของโลกในตอนนี้ ต่างประเทศมองเราว่าเป็นประเทศที่มีโอกาสสำหรับเขาพุ่งเป้ามาที่ประเทศเรา ถ้าเราเตรียมความพร้อมประเทศได้รวดเร็ว ซึ่งบางทีก็ติดกติกาหลายอย่าง และความคิดของเราค่อนข้างห่วงวิตกกังวลเยอะ ทำให้บางอย่างล่าช้า ซึ่งบางครั้งของเขาทำง่ายกว่าเราเยอะ ความขัดแย้งของเขามีไม่มาก ถ้าเรามองแต่ตัวเราเองก็จะเห็นปัญหาโน้นปัญหานี้จนตัดสินใจไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ไปหมด ดังนั้นต้องหาทางบนพื้นฐานความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน บนผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน อะไรที่ไม่ดีไม่ถูกก็ค่อยแก้กันไป บ้านเมืองก็เป็นแบบนี้ คน 60 กว่าล้านคนจะทำให้ทุกคนรัก หรือถูกใจทุกคนเป็นไปไม่ได้ แต่ทำอย่างไรให้เกิดความยุติธรรมทั่วถึงเป็นธรรม และอย่าลืมว่า งบประมาณภาครัฐได้มาจากภาษี ซึ่งเราไม่ได้รบกวนประชาชน การจะให้ใครต้องมีกติกา กฎเกณฑ์ และดูว่าจะหาเงินมาเพิ่มอย่างไร" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ส่วนเรื่องการประกาศยุบสภานั้น นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ได้วางแผนเรื่องดังกล่าวไว้ในใจแล้ว ซึ่งตนอยากให้เป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และสร้างสรรค์ ขอให้ทุกคนมองว่าประเทศชาติและประชาชนสำคัญที่สุด ทุกคนต้องช่วยกันทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า เพื่ออนาคตลูกหลาน
"ทุกอย่างก็ต้องมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าของเราไว้บ้างอยู่แล้วล่ะ เมื่อทุกคนทุกพรรคมีความพร้อมก็ว่าไป ในส่วนของพรรคก็พร้อมอยู่แล้วแหละ แต่เพียงยังไม่เปิดตัวเท่านั้นเอง ก็พร้อมมาอยู่แล้วล่ะ แต่เค้ายังไม่ได้ออกมาพูดอะไรมากนัก ว่าผมถ่วงเวลาเพื่อให้พรรคที่ผมสังกัดเขาพร้อม เขาก็ต้องพร้อมของเขาสิ ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรเมื่อไหร่" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว