นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่เลือกตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า ความพร้อมของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในภาคอีสานขณะนี้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองครั้งใหญ่ เดิมหัวหน้าพรรคกังวลว่าจะหาผู้สมัคร ส.ส.ไม่ได้ แต่ได้เริ่มต้นจากการไปพูดคุยกับแกนนำ นปช.และคนเสื้อแดงที่ จ.อุดรธานี บางคนก่อนตั้งพรรค หลักการคือการจับมือกันยุติความขัดแย้งระหว่างภาคประชาชนจับมือกันสร้างชาติ ต้องถือหลักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการเมืองที่ซื่อสัตย์ ปรากฏว่าคนกลุ่มนี้ตื่นตัวมาก หลังจากตั้งพรรคเสร็จก็ได้ชวนหัวหน้าพรรคไป จ.อุดรฯ นัดแกนนำ นปช.และคนเสื้อแดงมาพูดคุยกันปรากฏว่าได้รับการตอบรับด้วยดี
หลังจากพูดคุยกันแล้วพบว่ามีผู้ต้องการลงสมัคร ส.ส. ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแถวสอง กลุ่มที่คุมกำลังคนเสื้อแดงหรือ นปช. แต่ลาออกจากพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่มีการตัดท่อน้ำเลี้ยงและยุทธการแตกแบงก์พันในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ถูกนายใหญ่หักหลัง แต่ความคิดพวกเขาอยากเป็นนักการเมือง แต่ไปไม่ถึงฝั่งเพราะเข้าไม่ถึง
คนกลุ่มนี้เมื่อลงการเมืองระดับท้องถิ่นได้รับเลือกตั้ง เพราะความเป็นคนเสื้อแดงและ นปช. แต่เมื่อถูกทอดทิ้งก็อยากหาที่ยืนทางการเมือง เมื่อ รทสช.ไปคุยเรื่องการจับมือยุติความขัดแย้งจึงให้ความสนใจ หลังจากนั้นก็เกิดการกระเพื่อมของ นปช.และเสื้อแดงภาคอีสานทั้งหมด แยกไม่ออกใครเป็น นปช.หรือไม่ นปช.ที่วิ่งเข้าพรรคการเมืองต่างๆ บางคนไปอยู่พรรคไทยสร้างไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ ได้ 5-6 เดือนก็ถอยกลับมาพรรครวมไทยสร้างชาติ
นายวิทยา กล่าวว่า ภาคอีสาน 20 จังหวัด 132 เขตเลือกตั้ง มาถึงวันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เกือบครบทุกจังหวัดแล้ว ที่เป็นปัญหาคือว่าที่ผู้สมัครล้นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคณะทำงานกำลังพิจารณาคัดเลือกร่วมกัน แต่ส่วนใหญ่ลงตัวแล้วรอเวลาเปิดตัวเท่านั้น คิดว่าสิ้นเดือนนี้จะทยอยประกาศตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคอีสานได้
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การคัดเลือก เราจะดูจากประวัติทางการเมืองที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะ สจ.ถ้ามาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติต้องลาออก เมื่อ กกต.มีความชัดเจนเรื่องเขตเลือกตั้งแล้วพรรคก็จะมีความชัดเจนกว่านี้
นายวิทยา กล่าวว่า เดินมาถึงวันนี้ไม่กังวลอะไรเลย เพราะกระแสพรรคดีขึ้นตลอดเวลา ขณะนี้กระแส พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียังนำพรรคอยู่ ต้องปรับจูนให้กระแส พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคให้เดินไปด้วยกันให้ได้ ซึ่งหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกงานในนามพรรคมากขึ้น บางพื้นที่ชื่อพรรคคนจำไม่ได้ แต่จำชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ได้ ดังนั้นต้องทำสองอย่างนี้ให้เดินไปด้วยกันให้ได้ สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ เรื่องนี้ไม่น่าซับซ้อน
"ยุทธ์ศาสตร์ชูนายกฯ ภาคอีสานเราต้องทำต่อไปปฏิเสธไม่ได้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เป็นลูกอีสานจริงๆ แต่มีภาระหนักกว่านายกลูกอีสานคนอื่นๆ คือลุงตู่ต้องดูแลคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ดูแลเฉพาะภาคอีสานเท่านั้น เราต้องสื่อสารความจริงให้ประชาชนรู้ คนรู้จัก พล.อ.ประยุทธ์คือผลงานที่ทำมาช่วงเป็นรัฐบาล แต่สิ่งที่ไปบดบังผลงานพรรคอื่นสนิทคือ โครงการคนละครึ่ง บัตรประชารัฐ หรือชาวบ้านเรียกบัตรลุงตู่ ตรงนี้เป็นเรื่องจริงถ้าลงไปเดินข้างล่างก็จะทราบความจริงตรงนี้ต้องสื่อสารต่อไปเป็นจุดขายของพรรค" นายวิทยา กล่าว
สำหรับการเดินสายลงพื้นที่ตามจังหวัดต่างๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีมากขึ้น โดยในวันที่ 25 ก.พ.66 พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะขึ้นเวทีปราศรัยที่ จ.นครราชสีมา ถือเป็นการเปิดประตูสู่อีสาน จากนั้นจะทยอยเปิดประตูไปสู่ภาคอื่นๆ อีกต่อเนื่อง
"ถ้าได้ไปสัมผัสลึกๆ ใครคิดว่าพรรคเพื่อไทยคืออีสานไม่ใช่เลย ขณะนี้คนเสื้อแดง 90% มีอารมณ์เดียวกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำ นปช.คือ เขาอยู่ตรงข้ามพรรคเพื่อไทย เขาหลุดจากกรอบครอบของเพื่อไทยแล้ว ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเขาก็มีพื้นที่แน่นอนของเขา โดยเฉพาะจังหวัดอีสานใต้ มีบ้านใหญ่ดูแลอยู่ แม้จะเจาะยากแต่พรรคก็มีความพยายาม เช่น นายกเทศมนตรีบางพื้นที่ใน จ.บุรีรัมย์ แทนที่จะอยู่กับพรรคภูมิใจไทยก็เดินออกมา นักการเมืองแถวสองในลักษณะนี้ก็เดินออกมาอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติมาก หรือแม้แต่ จ.อุดรธานี บ้านใหญ่คือ นายวิเชียร ขาวขำ นายก อบจ.อุดรฯ แต่ก็มีนักการเมืองแถวสองที่เดินออกมาอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ลักษณะนี้มีอยู่หลายจังหวัดทั่วประเทศ" นายวิทยา กล่าว