ปมร้าวระดับแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ เมื่อระดับ Master Mind อย่าง "อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล" หนึ่งในอดีตผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาตอบโต้กันผ่านสื่อโซเซียลจนกลายเป็น Talk of The Town
เรื่องปะทุขึ้นในวันครบรอบ 3 ปี ยุบพรรคอนาคตใหม่ หลังนายพิธา ออกมาเปิดใจต่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์ นายปิยบุตรที่เคยประกาศวางมือทางการเมืองเพื่อกลับไปทำงานด้านวิชาการอีกครั้ง ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงจุดอ่อนในการทำงานการเมืองเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล
ย้อนเหตุการณ์จุดพลุจากโพสต์วิพากษ์วิจารณ์ตรงๆ พุ่งเป้าไปที่นายพิธาว่า หากพรรคก้าวไกลไม่ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีอาจเพลี่ยงพล้ำจนเหลือตัวเลข ส.ส.กลับเข้ามาทำงานในสภาผู้แทนราษฎรแค่เพียง 30 คน เนื่องจากที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลยังไม่สามารถก้าวข้ามยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย (พท.) ผลโพลที่ออกมาก็ยังเป็นรองพรรคการเมืองอื่นๆ ทำเหมือนไม่ได้มุ่งหวังชนะเลือกตั้งให้มี ส.ส.มากกว่าเดิม เป็นเพียงแค่เกาะกระแสที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น
ทั้ง ๆ ที่มีคนอีกจำนวนมากที่รักพรรคเพื่อไทย แต่ก็เห็นประโยชน์ของการมีพรรคแบบก้าวไกล และคนจำนวนมากที่รักทั้งสองพรรค หรือ คนจำนวนมากที่เห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำ แต่คิดว่าเป็นการต่อสู้ระยะยาว หรือ คนจำนวนมากชอบพรรคก้าวไกล แต่ไม่คิดว่าจะชนะได้ในเขตเลือกตั้ง ไม่คิดว่าจะชนะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้ คนเหล่านี้ อาจเลือก ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย และแบ่งมาลงคะแนนบัญชีรายชื่อให้พรรคก้าวไกล
นายปิยบุตร ยังแนะให้พรรคก้าวไกลวางยุทธศาสตร์เป็นตัวแทนพลังใหม่ที่จะต่อสู้กับพลังเก่า ซึ่งแตกต่างไปจากการเลือกตั้งครั้งก่อน ที่ต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการหรือฝ่ายประยุทธ์ โดยย้ำถึงปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับศักยภาพของผู้นำพรรคที่จะทำให้ผู้สนับสนุนเกิดความเชื่อมั่นว่าพรรคก้าวไกลจะชนะเลือกตั้งได้หรือไม่
ไม่นาน นายพิธา ก็หมดความอดทน ออกมาตอบโต้ผ่านช่องทางเดียวกันในสื่อโซเชียล ไม่ได้พูดคุยกันเป็นการภายในเหมือนที่เคยตกลงกันไว้ในอดีต ด้วยการ "ขอร้อง" อย่างดุเดือดให้นายปิยบุตรเลิกทำตัว "มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ" ยุติการบั่นทอนทำลายกำลังใจของทีมงานที่ต้องเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งกันอย่างหนัก แล้วให้หันหน้ามาช่วยกันเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ด้วยกัน แม้จะต่างคนต่างทำก็ตาม
เพราะสิ่งกังวลคือ การที่นายปิยบุตรออกมาพูดซ้ำๆ แม้ทุกอย่างเป็นเรื่องอนาคตที่จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ก็ไม่รู้ แต่ "พูดอะไร" ไม่เท่ากับ "ใครเป็นคนพูด" เมื่อมีคนเชื่อแล้ว มันก็อาจจะกลายเป็นความจริง
นายพิธา ระบุว่าในอีก 3 เดือนก่อนเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศไทย ในขณะที่องคาพยพพรรคก้าวไกลกำลัง "เข็นครกขึ้นภูเขา" สู้กับอำนาจรัฐ อำนาจทุน ด้วยทรัพยากรจำกัด แต่พอนายปิยบุตรปล่อยน้ำในเขื่อนออกมาที่ละโพสต์ๆ ให้น้ำไหลออก ซัดครกที่กำลังเข็นอย่างเหน็ดเหนื่อย ไล่ลงมากองไว้ที่เดิม จนลืมไปแล้วว่าศัตรูตัวจริงคือใคร เรากำลังสู้กับใคร เพื่ออะไร
จากนั้น นายปิยบุตร ก็ยังไม่หยุดโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กตอบโต้อีกรอบว่า วิจารณ์พรรคก้าวไกลอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้พูดถึงตัวบุคคล แต่เมื่อถูกพาดพิงก็จะตอบทุกประเด็นให้ทุกคนได้รู้ว่านายพิธาจับเสือมือเปล่า เอารัดเอาเปรียบคนอื่นในพรรค พร้อมถามกลับ "ใครกันแน่ มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ"
ข้อความของนายพิธาเป็นการ "เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้ตน" เขียน "ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว" ทำให้คนในพรรคเข้าใจว่าเป็นผู้นำที่เข้ามากอบกู้พรรค แต่ตนเองเป็นผู้ทำลายพรรค พร้อมประกาศว่าจะเดินสายไปออกสื่ออธิบายว่านายพิธาทำอะไรบ้าง
ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่ายังรักและสนับสนุนพรรคก้าวไกล เพราะเป็นพรรคที่จำเป็นในสถานการณ์ระยะเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ แต่การที่นายพิธาทำ "ขาวเป็นดำ" เป็นพระเมสสิอาห์มากอบกู้พรรค ส่วนตัวเองกลายเป็นคนทำลายพรรค? คงปล่อยผ่านไม่ได้
*ลูกพรรครับถ้อยคำรุนแรง ฝืนมองแง่บวกแค่ความหวังดี
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ออกแถลงยอมรับว่า ที่นายปิยบุตร โพสต์บางถ้อยคำอาจรุนแรง บางครั้งอาจจะขัดต่อความรู้สึกที่เราลงพื้นที่ และย้ำว่าอาจจะเป็นความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่ถามว่าจะกระทบหรือไม่นั้น ยังมองในแง่บวกว่าเป็นแค่การถกเถียงกัน เป็นแค่การพูดคุยกัน แม้จะใช้ถ้อยคำรุนแรงบ้าง แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับการพูดคุยกัน ณ วันนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณแตกแยกภายในพรรคระยะยาว
พร้อมมองว่า นายปิยบุตรอยากเห็นพรรคก้าวไกลประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง ซึ่งนายพิธาก็อาจจะคาดหวังให้นายปิยบุตรทำในส่วนอื่นที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวในเรื่องประชาธิปไตย สุดท้ายจะทำให้พรรคบรรลุเป้าหมาย ตั้งแต่ตอนที่ตั้งพรรคอนาคตใหม่จนถึงตอนที่ยุบพรรค และมาถึงวันนี้ ซึ่งหากมองเบื้องหลังถ้อยคำที่รุนแรงนั้น จะพบว่าแต่ละคนล้วนมีแต่ความปรารถนาดี
*นักวิชาการ ระบุฝ่ายประชาธิปไตยแย้งกันเป็นเรื่องปกติ
นายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่า กรณีดังกล่าวเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นไม่ตรงกัน ไม่ใช่ความขัดแย้งรุนแรง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของนักการเมืองหัวเสรีนิยมที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ เพราะสมาชิกทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเป็นเอกภาพไปในทิศทางเดียวกันเหมือนนักการเมืองแนวอนุรักษ์นิยม กรณีนี้อาจส่งผลกระทบความสัมพันธ์ส่วนตัวได้บ้าง ไม่ส่งผลกระทบต่อพรรค
"เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเกมการเมือง แค่ความเห็นไม่ตรงกัน ต่างคนต่างหวังดี อีกคนอยากให้ถึงไปถึงเป้าหมายอย่างรวดเร็ว แต่อีกคนอยากให้ปรับลดเพดานแบบค่อยเป็นค่อยไป แค่ขัดแย้งส่วนตัวไม่กระทบพรรค" นายสติธร กล่าว
ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตยฯ กล่าวว่า สมาชิกพรรคการเมืองแนวเสรีนิยมจะมีจุดร่วมเดียวกัน แต่ทุกคนอาจไม่เห็นด้วยกับแนวทางการดำเนินงานของพรรคทั้งหมด บางคนอาจเลือกใช้วิธีแยกตัวออกจากพรรคไป หรือบางคนอยู่เงียบๆ รอจังหวะที่จะเสนอให้พรรคดำเนินการตามแนวทางของตนเอง หากเห็นว่าแนวทางที่ดำเนินการอยู่ไม่ได้ผล
กรณีดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานเสียงของพรรคก้าวไกล หรือทำให้กลุ่มผู้ให้การสนับสนุนเกิดความสับสน เพราะไม่ได้เสียจุดยืนของพรรค เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นแตกต่างกันเท่านั้น
*ฐานเสียงแค่ตกใจ แนะ "ธนาธร" รับเป็นกาวใจก่อน IO เข้าแทรก
นายโอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มองว่า เป็นเรื่องปกติที่แกนนำอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกัน และแสดงให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคที่ไม่มีใครมาชี้นำ ไม่น่าจะส่งผลกระทบเรื่องมวลชนที่เป็นฐานเสียง เพราะจากการทำโพลในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการรับเงินบริจาคยังคงมีผู้ให้การสนับสนุนอย่างเหนียวแน่น
"อาจารย์ปิยบุตรคงอยากให้มองการเมืองในระยะยาว หากพรรคก้าวไกลวางท่าทีไม่ชัดเจน ยังอยู่ภายใต้พรรคเพื่อไทย อาจสูญเสียความเป็นพรรคก้าวไกลไปได้" นายโอฬาร กล่าว
กรณีความขัดแย้งดังกล่าว อาจทำให้มวลชนตกใจไปบ้าง เรื่องนี้คงต้องอาศัยคนกลางอย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เข้ามาช่วยเป็นกาวใจ เพราะทั้งสองคนต่างมีกองเชียร์เป็นของตัวเอง หากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปอาจเป็นช่องทางให้ถูกโจมตีจากกระบวนการไอโอได้