นายอุตตม สาวนายน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ไม่ติดใจกรณีที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ประกาศนโยบายหลายเรื่องบนเวทีปราศรัยใหญ่ที่จังหวัดนครราชสีมา และมีทับซ้อนกับนโยบายของพลังประชารัฐ เพราะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกัน
"พรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้ โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคฯ ซึ่งได้ประกาศชัดเจนก่อนหน้านี้ ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และประเทศชาติ พรรคพลังประชารัฐยินดีให้การสนับสนุน ไม่ต้องการเอาชนะคะคานกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนต่างก็รับทราบดีว่านโยบายต่างๆ มีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นคนคิดริเริ่มและผลักดันจนเป็นรูปธรรม เพียงแต่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทุกเรื่องจะต้องผ่านความเห็นชอบของ ครม. ซึ่งมีนายกฯ เป็นหัวหน้า ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหิ้วเอานโยบายเหล่านั้นติดตัวไปอยู่พรรคอื่นด้วย" นายอุตตม กล่าว
พร้อมยกตัวอย่าง นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งหากย้อนกลับไปดูว่าโครงการนี้เปิดให้ผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนครั้งแรกในปี 2559 ซึ่งขณะนั้นคนที่เข้ามาคุมนโยบายเศรษฐกิจให้รัฐบาล คสช. คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ตั้งแต่กลางปี 2558 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้กำกับดูแลหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ และที่เกี่ยวข้อง 9 หน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ขณะที่ตนและนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็เข้าร่วม ครม.ไปเป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของนายสมคิด ซึ่งได้มีนโยบายต่างๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
นายอุตตม กล่าวอีกว่า เมื่อตนทำหน้าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผ่านการเลือกตั้งปี 2562 แล้ว ส.ส.ทุกคนของพรรคพร้อมใจกันเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกฯ นายสมคิด และตนก็ยังร่วม ครม. คุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจ เดินหน้าผลักดันนโยบายที่ริเริ่มเอาไว้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งลาออกจาก ครม.ในปี 2563
"ย้อนดูไทม์ไลน์ช่วง 8 ปี ก็จะรู้ว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม และผลักดันนโยบายเหล่านี้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ถ้าพรรคไหนเห็นว่านโยบายของเราดี จะนำไปสานต่อ พรรคพลังประชารัฐ และพล.อ.ประวิตร ก็ยินดี ไม่ขัดข้องอะไร" นายอุตตม กล่าว
ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า นโยบายต่างๆ เหล่านี้เป็นการริเริ่มของนายสมคิด อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพวกตน ตั้งแต่ช่วงรัฐบาล คสช.ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จึงถือได้ว่าเป็นผลผลิตของพรรค พปชร. ทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมถึงโครงการเขตพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
"อย่างโครงการ EEC ก็มาจากแนวคิดของนายสมคิด และนายอุตตม ที่นำเสนอต่อรัฐบาล คสช.เพื่อพลิกฟื้นประเทศ แล้วเดินหน้าผลักดันต่อในนามพรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นโครงการหลักของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะพลิกฟื้นด้านการลงทุนแล้ว ยังยกระดับด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของไทยให้ก้าวกระโดดสู่ไทยแลนด์ 4.0" นายสนธิรัตน์ กล่าว
ส่วนการแก้ปัญหาที่ดินทำกินและการจัดการน้ำ ประชาชนก็ทราบดีว่า พล.อ.ประวิตร เป็นผู้ขับเคลื่อนมาตลอด ดังที่ปรากฏข้อมูลผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ตลอดระยะเวลาที่พล.อ.ประวิตร กำกับดูแลงานด้านน้ำได้ลงพื้นที่กว่า 79 ครั้ง ใน 55 จังหวัด ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรงในหลายเรื่อง เช่น มีการเพิ่มประสิทธิภาพประปาหมู่บ้าน มีการพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินให้สามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้น พัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ประชาชนได้รับประโยชน์จากน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตรถึง 1.33 ล้านครัวเรือน ในช่วงใกล้เลือกตั้งนี้ ตนเชื่อว่าคนที่คิดและคนลงมือทำ จะเข้าใจและผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ประชาชนได้ประโยชน์จริง มากกว่าการสั่งการตามหน้าที่
"จริงๆ แล้ว พรรคพลังประชารัฐ ไม่คิดว่าจะต้องมาตอบโต้ หรือช่วงชิงว่าใครเป็นเจ้าของนโยบาย เพราะทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลต่างก็ถือว่ามีส่วนร่วมกับทุกนโยบายที่ผ่านมติ ครม. แต่ในเมื่อสังคมเกิดความกังขา และสื่อมวลชนสอบถามมา เราก็พร้อมจะไล่เรียงเพื่อให้เกิดความชัดเจน" นายสนธิรัตน์ กล่าว