เลือกตั้ง'66: "ลุงป้อม" พกความมั่นใจพาประเทศก้าวข้ามขัดแย้งสู่ประชาธิปไตย

ข่าวการเมือง Wednesday March 8, 2023 13:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เลือกตั้ง'66:

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว โดยยืนยันถึงความมุ่งมั่น ในการ "ก้าวข้ามความขัดแย้ง" ระหว่างพรรคที่สนับสนุนอำนาจนิยม และพรรคที่เดินในแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยม ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำพาประเทศ ย่อมเกิดผลดีอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบ้านเมือง

"ผมขอให้ทุกคนเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์ และเรื่องราวที่ผมสั่งสมมา จะทำให้ ผมทำได้และจะทำได้ดีกว่าใคร ในความตั้งใจด้วยความปรารถนาดีต่อประเทศนี้...ขอให้เชื่อผมสักครั้ง"พล.ประวิตร ระบุ

พร้อมระบุว่า จากการที่เป็นนายทหาร เติบโตจาก "ชั้นผู้น้อย" จนมาเป็น "ผู้บัญชาการทหารบก" อยู่เป็นผู้หนึ่งในศูนย์กลางอำนาจรัฐ ประกอบกับการคบหาสมาคมกับคนในทุกวงการตามโอกาสที่อำนวยให้มากมาย ทำให้เข้าใจ "โครงสร้างอำนาจของประเทศ" เป็นอย่างดี เป็นโครงสร้างที่ส่งผลต่อการช่วงชิงและจัดสรรอำนาจจริง ไม่ใช่แค่โครงสร้างในรูปแบบที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไปได้รับรู้

โดยตลอดระยะเวลาอันยาวนานได้เห็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่าย 2 แนวความคิดที่เป็นไปอย่างเข้มข้น ฝ่ายหนึ่งมองเห็นแต่ความเหลวแหลกของพฤติกรรมนักการเมือง แต่ประชาชนยังไม่มีความรู้ความสามารถที่จะเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารจัดการประเทศ เห็นแต่นักธุรกิจการเมือง-การลงทุนทางการเมืองเพื่อค้ากำไร แสวงหาผลประโยชน์-นักการเมืองที่มาจากผู้มีบารมีในท้องถิ่น เข้ามาขยายแหล่งผลประโยชน์จากอำนาจส่วนกลาง ผู้ประสบความสำเร็จในตำแหน่ง หน้าที่การงาน ทั้งที่เป็นข้าราชการ และภาคเอกชน ทั้งนักธุรกิจ นักลงทุนที่ทำงานขับเคลื่อนประเทศ ส่วนใหญ่ทนกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนักการเมืองในคุณสมบัติข้างต้นไม่ไหว การสนับสนุนให้ก่อร่างโครงสร้างอำนาจนิยม เกิดขึ้นจากความเหลือทนต่อพฤติกรรมดังกล่าวของนักการเมือง

"ผมรับรู้ถึงกระแสสนับสนุนการปฎิวัติรัฐประหารที่ไม่เคยหมดไปจากโครงสร้างอำนาจประเทศเรามาตลอด และมองความเป็นไปทั้งหมดอย่างเข้าใจว่าทำไมกลุ่มผู้มีอิทธิพลในการกำหนดความเป็นไปของประเทศจึงพากันคิดและร่วมกันลงมือเช่นนั้น" พล.อ.ประวิตร ระบุ

อย่างไรก็ตาม เหมือนชะตาชีวิตเอื้อให้มีโอกาสเข้ามาทำงานในฐานะนักการเมือง ตั้งแต่ในฐานะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่นำโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ได้ทำงานร่วมกับผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งรัฐมนตรี และ ส.ส.จนมาถึงได้ร่วมก่อตั้งพรรค และขยับมาเป็นหัวหน้าพรรคด้วยเหตุผลที่กล่าวไปในบทที่แล้ว ด้วยประสบการณ์ใหม่และอุปนิสัยเดิมของตนที่รักในการคบหาสมาคมกับผู้คน ทำให้ตนได้เรียนรู้ชีวิตและความคิดของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมากขึ้น

"นักการเมืองในประเทศที่ประชาชนยังต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ มากมาย ด้วยโครงสร้างการบริหารจัดการประเทศไม่เอื้อให้ประชาชนพึ่งพาตัวเองได้ ขณะที่การบริหารจัดการของระบบราชการยังบกพร่องและเป็นปัญหาอยู่มาก นักการเมืองที่ถูกหมิ่นแคลนจากชนชั้นที่มีอิทธิพล กำหนดความเป็นไปของประเทศที่ผมได้กล่าวถึงข้างต้น กลับเป็นผู้ที่เข้าอกเข้าใจปัญหา เป็นที่พึ่งที่หวังได้ในทุกเรื่องของประชาชน มากกว่าคนกลุ่มอื่นในโครงสร้างอำนาจ" พล.อ.ประวิตร ระบุ

พล.ประวิตร ระบุว่า เริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ว่า การตัดสินว่าประชาชนไม่มีความสามารถในการเลือกคนดีมีความสามารถเข้ามาเป็นผู้แทนนั้นเป็นความคิดที่ไม่ถูก เพราะมองการตัดสินใจเลือกของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบในโครงสร้างอำนาจแบบนี้เพียงมุมเดียว และเป็นมุมมองที่ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนึกคิดชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ และเมื่อชีวิตนักการเมืองของตนได้เรียนรู้จากการลงพื้นที่สัมผัสการทำงานของนักการเมืองพื้นที่ต่างๆ ทั้งด้วยภารกิจราชการ อย่างเช่นการลงไปแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่ต่างๆ และลงไปร่วมหาเสียง สร้างความนิยมให้สมาชิกพรรคในจังหวัดต่างๆ ทำให้ได้รับรู้ว่า การปลูกฝังสำนึกประชาธิปไตยให้กับประชาชนนั้นไปไกลแล้ว ทั้งที่ผ่านบทบาทของนักการเมืองส่วนกลาง และนักการเมืองท้องถิ่นที่มีการเลือกตั้งกันทุกระดับ ทำให้ตนกลับมาย้อนมองผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมพรรคที่สนับสนุนอำนาจนิยมจึงพ่ายแพ้ต่อพรรคที่เดินในแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยมทุกครั้ง

"เหมือนไม่มีหนทางในชัยชนะอยู่เลย แม้ว่าฝ่ายอำนาจนิยมจะสร้างกติกา และแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามาควบคุมกลไก เพื่อให้เอื้อต่อชัยชนะของฝ่ายตัวเอง อย่างเอาเป็นเอาตายแค่ไหนก็ตาม เพราะความพ่ายแพ้นั้นเกิดจากอำนาจนิยม แม้จะครองใจคนบางกลุ่มได้ แต่ห่างไกลอย่างยิ่งต่อความเข้าใจเกี่ยวกับความจำเป็นในชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่" พล.อ.ประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความเป็นจริงในชีวิตคนส่วนใหญ่ ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วทำให้เกิดความเชื่ออย่างหนักแน่นในใจว่าเส้นทางการบริหารจัดการประเทศ ไม่มีหนทางอื่นนอกจากมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าในระบอบประชาธิปไตย เคารพการตัดสินของประชาชนส่วนใหญ่เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ตนจะมองไม่เห็นหนทางอื่น นอกจากปักความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคงหนักแน่นเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยประสบการณ์ที่เรียนรู้และรับทราบถึงเจตนาดีต่อประเทศของคนกลุ่มที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า มีความรู้ความสามารถ และยังคงมีอิทธิพลกำหนดความเป็นไปของประเทศ ทำให้ตนเกิดความเสียดาย และคิดว่าการหาทางประสานให้คนกลุ่มนี้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำพาประเทศ ย่อมเกิดผลดีอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบ้านเมือง และความคิดนี้เองเป็นที่มาของความมุ่งมั่นก้าวข้ามความขัดแย้งของตน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ