พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊กถึงจดหมายฉบับล่าสุดเกี่ยวกับบทสรุป สู่ "ก้าวข้ามความขัดแย้ง" ที่ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนัก ถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟูและพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก
ปัญหาความไม่เข้าใจในเรื่องของแนวคิด ของฝ่าย "อนุรักษ์นิยม" กับ "ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม" มีมาอย่างยาวนาน และยังวนเวียนอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบัน ประเทศไทยของเรา เมื่อประเทศต้องอยู่ในสถานะที่ "ผู้ล้มเหลวทั้งสองฝ่าย" ต่างก็ผลัดเข้ามาควบคุมอำนาจ อาการหมดสภาพที่จะก้าวต่อไปสู่ความเจริญจึงเกิดขึ้นกับประเทศของเรา
โดยระบุถึงความตั้งว่า หากได้เป็นรัฐบาล จะนำนโยบายที่ดีของทุกพรรคการเมืองมารวบรวมไว้ โดยไม่รังเกียจหรือแบ่งแยก และจะนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง พร้อมชู "การเมืองที่ไม่ต้องมีผู้ชนะเด็ดขาด" และ "ไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ"
พร้อมย้ำว่า เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ "มีหัวใจ" และหัวใจที่ใหญ่พอจะยอมรับความแตกต่างทางความคิด เพื่อนำพาให้ก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยวิธีที่คิดไว้ คือให้ความเคารพอย่างแท้จริงต่อประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นว่าประเทศจะเดินหน้าไปได้ด้วยการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เพียงแต่ว่าเป็น "ประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง ให้คนทุกกลุ่มเข้ามาร่วมมีบทบาท" เคารพในเสียงส่วนใหญ่ แต่เปิดใจรับฟังเสียงส่วนน้อยที่มีความรู้ ความสามารถ ด้วยเจตนาดีต่อความเป็นไปของประเทศ
"ผมตั้งใจว่าเมื่อ พรรคผมเป็นรัฐบาล ผมจะตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก นำนโยบายดีๆ ของทุกพรรค ที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียง เอามาทำและปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง โดยไม่ได้มีความรังเกียจหรือแบ่งแยก หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ นี่คือการเมืองที่อยู่ในใจผม การเมืองที่ไม่ต้องมี "ผู้ชนะเด็ดขาด" "ไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ"" พล.อ.ประวิตร ระบุ
พล.ประวิตร ระบุว่า "ขอให้เชื่อผม เหมือนที่ผมเชื่อตัวเอง ว่าผมทำได้ เพราะหัวใจผมใหญ่พอ มาก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน เราจะอยู่กับความเห็นต่างที่มีมากด้วยความเห็นชอบ ไม่ใช่เห็นชอบกับสิ่งที่ตนเองคิด และจะคอยรับฟังการรายงานข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ โดยมีหลักคิดอยู่ในใจว่า ปัจจุบันคือแก้ไขอดีตที่ล้มเหลว เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า" พล.อ.ประวิตร กล่าว
นี่คือสิ่งที่นักการเมืองหลายคนกำลังทำ ด้วยหลักคิดเดียวกัน คือการย้ายพรรคจากฝ่ายรัฐบาล ไปสู่ฝ่ายค้าน หรือจากฝ่ายค้านไปสู่รัฐบาล ซึ่งคงมองถึงอนาคตที่ดีกว่า และก็คงทำต่อไปแม้ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์
8 ปีที่ผ่านมา สอนให้เรียนรู้และได้คิดว่าอะไรที่ดีกว่าเดิม เพื่อจะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เป็นสิ่งที่ควรทำและจะต้องทำ ด้วยวิธีคิดใหม่ๆ เพราะการที่จะคิดอยากได้สิ่งใหม่ๆ โดยใช้วิธีเดิมๆ นั้นไม่น่าจะได้ผล ส่วนที่ตนคิดจะถูกหรือจะผิด ประชาชนเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน