นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวภายหลังเปิดเวที Workshop "ปลดล็อก ทลาย Gen ร่วมคิด ระดมทำ" ว่า จุดยืนพรรคพลังประชารัฐ คือ การก้าวข้ามความขัดแย้ง ในฐานะว่าที่ผู้สมัครหลายคนเป็นหน้าใหม่ และถือเป็นพลังใหม่ ตั้งใจทำสิ่งดีๆ ให้กับประชาชน ภายใต้สโลแกน "ก้าวข้ามความขัดแย้ง" เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น ใน 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการเมือง ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการศึกษา และด้านเศรษฐกิจ
สำหรับสิ่งที่รับฟังจากการทำกิจกรรมครั้งนี้ จะนำไปเสนอเป็นนโยบายของพรรค และนโยบายรายเขตในกทม. เป็นความตั้งใจของเราที่จะทำให้ชาว กทม. โดยในวันที่ 23 มี.ค. พรรคฯ จะทำกิจกรรมลักษณะนี้อีก โดยจะขยายความเรื่องเศรษฐกิจชุมชนในแต่ละเขต เพื่อเป็นแนวทางที่จะเสนอให้พรรค และหากได้เป็นรัฐบาลก็จะผลักดันให้เกิดขึ้นจริง หรือว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ได้เป็น ส.ส. ก็จะเข้าไปผลักดันในสภาฯ
นางนฤมล กล่าวถึงนโบายก้าวข้ามความขัดแย้งว่า พรรคเคารพเสียงของประชาชน และเสียงส่วนใหญ่ของสภาที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของทุกพรรค และต้องมีอุดมการณ์เดียวกัน ถึงจะร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยเป็นสโลแกนที่ใช้มาตั้งแต่ปี 62 ที่ระบุว่า "ไม่แบ่งสี ไม่มีฝ่าย ก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าทำงานเพื่อส่วนรวม และร่วมกับเสียงส่วนใหญ่"
พร้อมย้ำว่า ยังไม่มีการพูดถึงการจับขั้วการเมืองกับพรรคเพื่อไทย โดยพรรคยังไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่
ส่วนกรณีที่วานนี้ (15 มี.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รับประทานอาหารกลางวันร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะเป็นการจับขั้วทางการเมืองใหม่ หรือมีนัยทางการเมืองหรือไม่นั้น นางนฤมล กล่าวว่า เรื่องนี้พล.อ.ประวิตร ได้ชี้แจงไปแล้ว ซึ่งน่าจะมีการนัดหมายไว้ล่วงหน้านานแล้ว การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันก็สามารถรับประทานอาหารร่วมกันได้ รวมถึงสามารถรับประทานข้าวร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เช่นกัน เพราะเป็นพี่น้องกัน
นายนิธิ บุญยรัตกลิน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. กล่าวว่า วันนี้นโยบายในเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่ได้หมายถึงจับมือกับใครก็ได้ แต่เจตนารมณ์ เราพร้อมเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ทุกภาคส่วน เพื่อนำพาประเทศก้าวข้ามปัญหาต่างๆ อย่างยั่งยืน และวันนี้เราเป็นพรรคพลังประชารัฐเวอร์ชั่นใหม่ ต้องการเห็นคนรุ่นใหม่มีความเป็นอยู่ที่ดี ระบบราชการเป็นที่พึ่งได้ พรรคเห็นถึงความคิดที่แตกต่าง และยอมรับความเห็นที่แตกต่าง
ทั้งนี้ สิ่งที่เราได้จากการทำกิจกรรม ตอกย้ำว่าวันนี้สังคมไทยยังมีความเห็นที่แตกต่างหลายมิติทางการเมือง ภาพความขัดแย้งไม่รุนแรง หรือแบ่งสี แบ่งขั้วเหมือนในอดีต แต่ปัญหากลับซึมลึกและซับซ้อน กระจายไปในครอบครัว สังคมบริบทโลกที่เปลี่ยนไป เมื่อได้นั่งคุยกัน จึงได้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ว่าต้องการเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะเราย่ำอยู่กับประเทศกำลังพัฒนามานานแล้ว
ด้าน น.ส.บุณณดา สุปิยพันธ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. กล่าวว่า ในเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้ง พรรคจะมีการนำเสนอนโบายที่ควรมีหลักสูตรการเรียนการสอน ในการเรียนรู้ความแตกต่างร่วมกัน เพื่อนำพาประเทศไปสู่สันติสุข
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. กล่าวว่า มิติสิ่งแวดล้อมเป็นเทรนด์ของโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 จำเป็นต้องสร้างความตระหนักต่อสาธารณะ เราควรพัฒนาสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติ บรรจุเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้าไปกระทรวงศึกษาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ให้ทุกคนตระหนักต่อสาธารณะ มีการใช้ทรัพยากรให้น้อยลง มีการคัดแยกกระดาษ และโลหะต่างๆ มีการจัดตั้งหน่วยงานองค์กรมหาชน ที่ดำเนินการเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต เพื่อเพิ่มรายได้กับประชาชน ให้กับชาวนา
ส่วนนายกานต์ กิติอำพน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. กล่าวว่า เรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใน กทม. พรรคจะมีการดึงจุดเด่น เรื่องสตรีทฟู้ด สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละพื้นที่ รวบรวมเป็น Data เพื่อเป็นข้อมูลให้กับนักท่องเที่ยวสามารถไว้ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวได้