พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดงาน "คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อคนกรุงเทพ" พร้อมเปิดวิสัยทัศน์อนาคตกรุงเทพฯ 4 ด้าน เพื่อผลักดันสู่ "มหานครระดับโลก" โดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม, นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาครอบครัวเพื่อไทย, นายดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง กรุงเทพมหานครพรรคเพื่อไทย และนายอรรฆรัตน์ นิติพน ผู้ประสงค์สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร
น.ส.แพทองธาร กล่าวปราศรัยบนเวทีงาน "คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อคนกรุงเทพฯ" ว่า เป้าหมายของพรรคเพื่อไทยที่คิดใหญ่เพื่อพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองหลวงของทุกคนภายใน 4 ปี เพราะหลายปีที่ผ่านมาอนาคตของกรุงเทพฯ ถูกบีบให้แคบลงเรื่อยๆ จากปัญหาความแออัดด้วยความล้าหลังของระบบราชการภายใต้รัฐบาลที่ขาดวิสัยทัศน์ และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แต่ด้วยโอกาสที่กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวง ทำให้ผู้คนยังคงดั้นด้นเดินทางมาสร้างชีวิตในที่แห่งนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่รวบรวมทุกความแตกต่าง ทุกคนล้วนมีเรื่องราวและความฝันเป็นของตัวเอง พรรคเพื่อไทยจึงคิดพัฒนาความเจริญทางกายภาพของกรุงเทพฯ บนฐานความเข้าใจในความหลากหลาย ให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นอนาคตให้กับกรุงเทพมหานคร ?คิดใหญ่เพื่อคนรุ่นใหม่ คิดใหญ่เพื่อคนกรุงเทพฯ? จึงเป็นแนวทางนโยบายพัฒนากรุงเทพฯ ของพรรคเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทยจะ ?คิดใหญ่? พัฒนาให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีทางการเงิน เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และผลักดันให้ประชาชนได้พัฒนาศักยภาพของตนอย่างน้อยครอบครัวละหนึ่งคน ผ่านนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟท์พาวเวอร์ (OFOS) ให้ทุกคนได้เข้าถึงองค์ความรู้ พร้อมไปยืนบนเวทีโลก และสร้างรายได้ใหม่ด้วยทักษะของตน
คุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ต้องสะดวกและปลอดภัยภายใต้การดูแลของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่จะลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าให้เหลือ 20 บาท ตลอดสาย, เพิ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ 50 แห่ง 50 เขต, แก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่ต้นเหตุ และวางแผนแก้ไขระยะยาว ให้กรุงเทพฯ ไม่ให้จมน้ำภายในปี 2575 ด้วยนโยบายสร้างเกาะรอบกรุงเทพฯ ให้เป็นเขื่อนแก้ปัญหาน้ำท่วม และลดความแออัด รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มจากที่ดินในการสร้างเกาะและเขื่อนได้อย่างมหาศาล
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า แผนการพัฒนาของพรรคเพื่อไทยเพื่อคนรุ่นใหม่ เพื่อกรุงเทพมหานคร ยังไม่จบเพียงเท่านี้ แต่จะใหญ่ขึ้นและสมบูรณ์ขึ้นด้วยนโยบายอีกมากมาย ให้กรุงเทพฯ เติบโตด้วยความมั่นคงและมั่งคั่ง ความหลากหลายจะต้องคงอยู่ แต่ความเหลื่อมล้ำจะหมดไป ภายใต้การดูแลของพรรคเพื่อไทย กรุงเทพฯ จะต้องใหญ่พอสำหรับทุกคน
นายเศรษฐา กล่าวปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์ว่า กรุงเทพฯ เคยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาค แต่การทำรัฐประหารได้ผลักไสให้นักลงทุนออกไป ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติหนีออกไปลงทุนที่ประเทศข้างเคียง คนกรุงเทพฯ จึงแทบไม่เหลือโอกาสทางเศรษฐกิจ คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถก็อยากออกไปทำงานต่างประเทศ นอกจากนี้ยังทำให้ความหลากหลายทางสิทธิและความงดงามต่างๆ ของคนกรุงเทพฯ หายไป
พรรคเพื่อไทยจึงมีความตั้งใจที่จะทำให้กรุงเทพฯ กลับมาเป็นมหานครอันดับโลกอีกครั้ง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว ตนขอกล่าวถึงวิสัยทัศน์ของกรุงเทพฯ 3 มิติ ได้แก่
มิติที่ 1 คือการเป็นมหานครทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมของเอเชีย ทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นจุดหมายปลายทางของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ให้มีการตั้งสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ สร้างงานสร้างอาชีพ สร้างแหล่งเงินทุน ต่อยอดนวัตกรรมและองค์ความรู้ให้กับประชาชนทุกคน ทวงคืนศักดิ์ศรีความเป็นมหาอำนาจแห่งเศรษฐกิจกลับมาอีกครั้ง
มิติที่ 2 การเป็นมหานครแห่งความหลากหลายทางความคิด อัตลักษณ์ และวัฒนธรรม เพราะการที่เมืองหลวงและมหานครใหญ่ทั่วโลกจะเติบโตได้ ปัจจัยสำคัญต้องเปิดกว้างเปิดรับความแตกต่างของคนที่เข้ามาอยู่ให้เขาได้แสดงออก รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะไม่เพิกเฉยต่อการลิดรอนสิทธิ เพศสภาพ อัตลักษณ์และความคิด คนคิดต่างต้องไม่ถูกทำร้ายและกีดกันการแสดงออกจากเจ้าหน้าที่รัฐ งานศิลปะต้องไม่ถูกตีกรอบด้วยความคิดที่ล้าสมัยในสังคม ต้องเปิดโอกาสเปลี่ยนไปตามยุคสมัยได้
"เราจะทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นสถานที่จัดงานระดับโลก ผลักดันซอฟท์พาวเวอร์ ให้ประเทศไทยเป็นที่จัดคอนเสิร์ต งานหนัง งานโฆษณา งานศิลปะและงานวัฒนธรรม เปิดโอกาส ให้ต่างชาติได้เห็นฝีมือคนไทยและจะผลักดันความหลากหลายทางเพศ จัดงาน World Pride ให้ได้ภายในปี 2028" นายเศรษฐา กล่าว
มิติที่ 3 การเป็นมหานครแห่งความเท่าเทียม มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่รับผิดชอบ รับฟังเสียงของประชาชน ทำลายระบบเส้นสาย
"ผมขออวยพรให้ทุกท่านได้รับเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ เข้าไปทำหน้าที่ในสภาทำให้ ส.ว. 250 คน ได้ทำตามฉันทามติของประชาชน สนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล ทำให้ความหวังของคนกรุงเทพฯ เป็นจริง และส่งต่ออนาคตที่ดีกว่า ให้กับลูกหลานของเราทุกคน" นายเศรษฐา กล่าว
นายดนุพร ปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์เรื่อง "New Income รายได้ใหม่ เพื่อไทยทุกคน" ว่า การคิดใหญ่ของพรรคเพื่อไทยในเรื่องรายได้ใหม่นั้นเป็นการคิดใหญ่บนฐานแนวคิดเดิม คือ ทำอย่างไรให้ฐานรากเรากลับมาแข็งแรง เพื่อพยุงเศรษฐกิจประเทศ จึงเสนอนโยบายด่วน 3 ด้านทำทันทีเลยคือ 1.ครอบครัวไหนมีรายได้รวมไม่ถึง 20,000 บาท เราจะอุดหนุนให้มีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน 2.เติมเงินให้ทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปในกระเป๋าเงินดิจิทัล ให้จับจ่ายใช้สอย 6 เดือนในร้านค้าภายในพื้นที่กำหนดรัศมี 4 กิโลเมตร และ 3.จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันเป็น 600 บาท และเงินตอบแทนปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือนภายในปี 2570
พรรคเพื่อไทยจึงจำเป็นที่จะต้อง "คิดใหญ่" บนฐานแนวคิดเดิม คือทำอย่างไรให้ฐานรากกลับมาเข้มแข็ง เพื่อพยุงเศรษฐกิจทั้งประเทศ ที่เรากล้า "คิดใหญ่" ขนาดนี้เพราะเราคิดไว้แล้วครับว่าจะต้องทำอย่างไรให้ทุกภาคส่วนได้ประโยชน์ ซึ่งต้องอาศัย 3 องค์ประกอบดังนี้
1. ลูกจ้าง เมื่อค่าแรงขยับขึ้น ลูกจ้างจะมีกำลังซื้อมากขึ้น เพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบทันที
2. ผู้ประกอบการ เมื่อประชาชนมีกำลังซื้อผู้ประกอบการก็จะได้กำไรมากขึ้น ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องช่วยผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าขนส่งต่างๆ
3. ภาครัฐ ลูกจ้างมีรายได้มากขึ้น ผู้ประกอบการมีกำไรมากขึ้น รัฐบาลก็จะสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น ภาษีที่มากขึ้นจะต้องถูกทำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ลงทุนโครงการขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มการจ้างงาน หมุนเงินกลับไปที่ประชาชน
"นโยบายทั้ง 3 ด้าน คือทุกครอบครัวรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน จึงเป็นกุญแจสำคัญพาคนกรุงเทพฯ และประเทศไทยออกจากเศรษฐกิจที่ถดถอยได้แน่นอน" นายดนุพร กล่าว
นายอรรฆรัตน์ ปราศรัยในหัวข้อ "Future Job อาชีพใหม่ เพื่อไทยทุกคน" ระบุว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ตนอยู่กับวงการเอสเอ็มอี ได้เห็นมุมมองของนักธุรกิจมากมาย ทั้งในไทย และต่างประเทศ เมื่อพรรคเพื่อไทยชักชวนมาทำนโยบายเรื่องปากท้อง การสร้างรายได้และการทำธุรกิจใหม่ๆ ให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสที่จะได้มีส่วนนำประสบการณ์มาช่วยพัฒนาประเทศ
คนไทยเก่ง มีความคิดและความขยันไม่แพ้ชาติใดเลย แต่ทำไมเราถึงยังติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง ไม่สามารถเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้เหมือนประเทศอื่น ๆ คำตอบคือ เราติดอยู่ที่รัฐบาล เราไม่มี "ตัวจุดระเบิด เพิ่มศักยภาพ" ไม่มี Economic launcher ให้กับผู้ประกอบการ ซ้ำในบางครั้งรัฐบาลกลับเป็นผู้ทำลายโอกาส
"เอกชนถึงมีไอเดียดีๆ แต่ถ้าไม่มีการหนุนเสริมจากรัฐบาล ไอเดียทั้งหมดก็เป็นไปได้ยาก เงินทุนไม่พอ ข้อกฎหมายเป็นปัญหา ต้องขอใบอนุญาตมากมาย และบางทีหากรัฐบาลไม่เข้าใจ ก็กลายเป็นอุปสรรค ที่ขัดขวางการเติบโตของภาคเอกชนเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น เราต้องมีรัฐบาลที่คอยส่งเสริมสนับสนุนเศรษฐกิจให้ดี รัฐบาลต้องสนับสนุนเอกชน ให้สร้างงานใหม่ งานแห่งอนาคต งานที่คนไทยจะไม่แพ้เอไอ ไม่แพ้ต่างชาติ" นายอรรฆรัตน์ กล่าว
นายอรรฆรัตน์ กล่าวว่า 8 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดปัจจุบันได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่มีความสามารถมากพอที่จะสนับสนุนคนไทยได้ เห็นได้จาก GDP ของไทย 2 ไตรมาสที่ผ่านมา เติบโตเพียงแค่ 2.5 และ 2.2% ในขณะที่มาเลเซียไตรมาสแรกโตถึง 8.9% เวียดนามโต 7.7% ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ประเทศไทยจะแพ้ในการแข่งขัน ตามเพื่อนบ้านไม่ทัน และจะไม่ใช่ประเทศที่ดึงดูดนักลงทุนอีกต่อไป
ดังนั้นต้องเปลี่ยนใหม่ เพื่อปลดล็อกศักยภาพ จุดระเบิดขับดันให้จรวดเศรษฐกิจไทยทะยานตามโลกให้ทัน ต้องใช้คนใหม่ๆ ที่ก้าวทันโลก มาบริหารเรื่องเศรษฐกิจ มาเตรียมระบบสร้างความรู้ใหม่ๆ ให้คนไทยนำเทคโนโลยีมาเป็นรายได้ มาสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพสามารถเปลี่ยนไอเดียดีๆ ให้เป็นการจ้างงาน เป็นมูลค่า และตนเชื่อว่าทีมเพื่อไทย คือทีมที่ดีที่สุดในด้านเศรษฐกิจ
พรรคเพื่อไทย มีนโยบายตั้งองค์กร Thailand Creative Content Agency มาสนับสนุนศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย นโยบาย 1 ครอบครัว 1 Soft power ที่จะสร้างเงินจากความคิดสร้างสรรค์ของคนในแต่ละครอบครัว สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี
"ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Digital Hub แห่งเอเชีย เป็น Food Paradise และสร้าง Festival Tourism ที่จะยกระดับอาหารและสินค้าไทยไปพร้อมกับวัฒนธรรมความคิดสร้างสรรค์ สร้างโอกาส สร้างงานใหม่ อาชีพใหม่ ถึงเวลาแล้วที่เราจะเปลี่ยนจากคนเดิมๆ คิดแบบเดิมๆ เป็นคนที่คิดใหญ่ ทำเป็น ต้องเพื่อไทยเท่านั้น" นายอรรฆรัตน์ กล่าว