นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบาย และประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค และโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ และนายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค และกรรมการด้านเศรษฐกิจ ร่วมแถลงข่าวไขข้อข้องใจในประเด็นดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท
โดยนายเศรษฐา กล่าวว่า ช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศบอบช้ำโดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจ ประชาชนรายได้ลด รายจ่ายเพิ่ม อยู่ภาวะซึมลึก ซึมยาว ซึมนาน รัฐบาลปัจจุบันหยอดน้ำข้าวต้มมาเรื่อยๆ เป็นจำนวนเงินเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ไม่เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจ พรรคจึงตัดสินใจใส่เงินดิจิทัลให้เลย 10,000 บาท ส่วนสาเหตุที่ต้องเป็นดิจิทัลวอลเล็ต เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ จำกัดวิธีการใช้ได้ สามารถบอกได้ว่าใช้จ่ายอะไรได้บ้าง แต่ถ้าให้เงินสดอาจนำไปใช้ในทางอื่นที่อาจไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการพนัน ยาเสพติด หนี้นอกระบบ
ซึ่งขณะนี้ พรรคฯ อยู่ระหว่างการศึกษาว่าหากเป็นหนี้สถาบันการเงิน จะสามารถใช้ได้หรือไม่ ซึ่งตนและทีมงานจะลงพื้นที่ไปพูดคุยกับประชาชน ถ้าหากเป็นความต้องการของประชาชน เราจะพิจารณาโดยอาจจะกันส่วนหนึ่งสำหรับใช้หนี้สถาบันการเงิน ซึ่งจะส่งผลดีช่วยให้หนี้ครัวเรือนลดลง หรือหากติดเครดิตบูโร ก็สามารถกลับมากู้เงินได้อีก
นายเศรษฐา กล่าวว่า สำหรับระยะเวลาใช้เงินดิจิทัลนั้น จะกำหนดให้ใช้ได้ภายใน 6 เดือน เพราะต้องการกระตุ้นให้จับจ่ายใช้สอยรวดเร็ว ห้างร้านต่างๆ หรือ SMEs จะได้เร่งผลิตสินค้าออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนรัศมีในการใช้ ตามที่อยู่ในบัตรประชาชนรัศมีประมาณ 4 กิโลเมตร ส่วนกรณีประชาชนที่ไม่มีร้านค้าในระยะ 4 กิโลเมตร อาจขยายระยะทางเพื่อสามารถไปใช้ได้ ซึ่งจะสามารถใช้จ่ายเงินตามบัตรประชาชนเท่านั้น เพราะเราอยากให้กลับไปใช้เงินที่บ้าน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน เป็นความตั้งใจไปสู่ภูมิภาคด้วย เราต้องการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค แต่ถ้า 6 เดือนไม่ได้เยี่ยมบ้านเลย เงินนั้นจะหายไป
ทั้งนี้ วงเงินดิจิทัลสามารถนำไปใช้จ่ายเป็นค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า เติมน้ำมัน ยกเว้นไปซื้อบุหรี่ หรือใช้หนี้นอกระบบ รวมถึงสามารถใช้จ่ายในร้านสะดวกซื้อต่างๆ ได้ โดยจะใส่เงินให้กับคนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน คาดว่าจะมีผู้ได้รับประโยชน์ประมาณ 50 ล้านคน และต้องใช้งบประมาณประมาณ 5 แสนล้านบาท และหวังว่าโครงการนี้จะเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.67 และคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจภายใน 4 ปีจะโตเฉลี่ย 5% ต่อปี
นายเศรษฐา กล่าวว่า เงินที่ใช้ในโครงการนี้ จะมาจากการจัดสรรงบประมาณจากปี 67 ซึ่งอาจมีการปรับลดงบประมาณจากกระทรวงต่างๆ ไม่ใช่แค่งบกระทรวงกลาโหมเพียงกระทรวงเดียว และอีกส่วนหนึ่ง จะมาจากการจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นมากขึ้นประมาณ 2 แสนล้านบาท และภาษีนิติบุคคลที่ได้รายได้มากขึ้น และอีกส่วนหนึ่งมาจากสวัสดิการรัฐที่จะลดน้อยลง
"ไม่อยากใช้คำว่าประชานิยมสุดโต่ง แต่เป็นความจำเป็น เป็นความต้องการของประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือในช่วงเวลานี้" นายเศรษฐา กล่าว
กรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านโยบายนี้ มองประชาชนเป็นยาจกนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่เคยมองประชาชนเป็นยาจก เป้าหมายของของพรรคเพื่อไทย คือช่วยประชาชนพ้นหลุมดำของความยากจน ถ้าดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะเป็นจุดสตาร์ทให้ประชาชนลุกขึ้นเดิน ลุกขึ้นทำมาหากินได้อีกครั้งหนึ่ง ตนถือว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชน
ด้าน นพ.พรหมมินทร์ กล่าวว่า จุดยืนพรรคเพื่อไทย ต้องการให้อำนาจรัฐเพิ่มรายได้ให้ประชาชน สิ่งสำคัญคือสร้างรายได้ให้กับทุกกลุ่ม ทั้งนโยบายเรื่องรายได้ขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท เพื่อเป้าหมายเศรษฐกิจโตไม่ต่ำกว่า 5% รวมถึงนโยบายรายได้เกษตร เราจะทำให้เพิ่ม 3 เท่า เปิดประตูรองรับการท่องเที่ยว โครงการหนึ่งครอบครัว 1 ซอฟพาวเวอร์ เพื่อปรับปรุงเพิ่มรายได้ 2 แสนบาท/ครัวเรือน/ปี เป็นต้น
"สภาพที่ผ่านมา ประเทศเราถูกทิ้งไว้ ถดถอย และล้าหลังในช่วง 8 ปี หลังโควิดเราเป็นอันดับท้ายๆ ของอาเซียน ค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น แต่รายได้ไม่พอ จึงจำเป็นต้องกระตุ้น ในเชิงการแพทย์เราไม่อยากหยอดน้ำข้าวต้มเพื่อให้ยืดความตาย แต่เราจะต้องใช้การปั้มหัวใจให้ฟื้นคืนมาได้เร็วและแข็งแรง มาตรการเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต สำหรับระยะสั้นเพื่อปลุกพละกำลังเราเพิ่มขึ้น" นพ.พรหมมินทร์ กล่าว
ส่วนที่นักเศรษฐศาสตร์มีการวิจารณ์ว่าเป็นการกระตุ้นบริโภคที่ไม่ถูกทางนั้น นพ.พรหมมินทร์ ชี้แจงว่า คนที่หารายได้ก็เพื่อนำมาบริโภค แต่หากมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการบริโภค ก็ไม่มีกำลังจะลงทุนต่อในการทำมาหากิน ซึ่งเงินตรงนี้จะช่วยสร้างให้เกิดรายได้เพิ่ม และมาตรการนี้เป็นช่วงระยะสั้น 6 เดือน และระหว่าง 6 เดือนนี้จะมีมาตรการอื่นๆ รองรับให้เขาทำมาหากินได้เพิ่มขึ้น
นพ.พรหมมินทร์ มั่นใจว่า นโยบายนี้ไม่เข้าข่ายเป็นการสัญญาว่าจะให้ เพราะนโยบายนี้เกิดขึ้นกับคนไทยทุกคน ไม่ได้ให้เฉพาะเจาะจง แต่เป็นนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และงบประมาณทั้งหมดที่ใช้ทุกโครงการให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น คือ ได้งานและสิ่งที่ดีกว่าเดิม
"ผมเปรียบง่ายๆ วันนี้ประเทศไทยมีเฟอร์รารี่ แต่คุณให้คนขับเกวียนไปขับ มันไปไม่ได้ แต่วันนี้คนขับรถแข่งมาเอง" นพ.พรหมมินทร์ กล่าว
ขณะที่นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า เศรษฐกิจดิจิทัลโตเร็วกว่าเศรษฐกิจพื้นฐาน 2.5 เท่า วันนี้พรรคต้องการสร้างโครงสร้างทางการเงินยุคใหม่ให้กับประเทศ เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งระบบการเงินยุคใหม่ไร้ตัวกลาง สนับสนุนโดยบล็อกเชน
ต่อจากนี้ คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป จะมี 2 บัญชี คือ บัญชีออมทรัพย์ผูกกับธนาคารพาณิชย์ และมีบัญชีดิจิทัลวอลเล็ตให้กับประชาชน 16 ปีขึ้นไป ผูกกับบัตรประชาชนอัติโนมัติ นี่คือ โครงสร้างที่วางให้กับประชาชน เพื่อดึงดูดคนมาใช้โครงสร้างนี้ เลยเป็นที่มาของการใส่เงินก้นถุง 10,000 บาท และสร้างแรงจูงใจให้คนมาใช้ระบบการเงินยุคใหม่ ซึ่งเงินยุคใหม่ใช้เทคโนโลยีบล็อคเชน สามารถเขียนเงื่อนไขลงบนเงินได้ เราต้องการเงินหมุนระดับหมู่บ้าน ระดับชุมชม ซึ่งแตกต่างเงินเป๋าตังค์ที่เป็นเงินยุคเก่า
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า เมื่อจบโครงการนี้ ระบบพร้อม ประชาชนพร้อม ประเทศพร้อม เข้าสู่ระบบการเงินยุคใหม่ จะก้าวสู่ระบบการเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง และต่อจากนี้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการะดมทุนในบล็อคเชน เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค เกิดการจ้างงาน ธุรกิจมหาศาล
นายเผ่าภูมิ ยืนยันว่า ทุกนโยบายสร้างรายได้ให้กับประชาชน ไม่ใช่การโอบอุ้มระยะยาว เราเป็นทุนนิยมที่เท่าเทียมที่มีหัวใจ เราเป็นพรรคที่ใช้หลักการรดน้ำที่ราก และพรรครับผิดชอบสูงสุดต่อวินัยการเงินการคลังของประเทศ
ทั้งนี้ ไม่ได้บังคับให้ประชาชนต้องเลือกระหว่างนโยบายเงินดิจิทัล กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะประชาชนจะมี 2 บัญชี คือ บัญชีออมทรัพย์ และบัญชีดิจิทัลวอลเล็ต แต่เราจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น จนวันหนึ่ง คนจะหลุดจากเกณฑ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมย้ำว่า เราจะไม่ยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
นายจักรพงษ์ กล่าวว่า งบประมาณที่ใช้ในปี 67 จะมีรายได้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 2.6 แสนล้านบาท โดยเป็นตัวเลขที่สำนักงบประมาณได้มีการคำนวณไว้แล้ว และไม่รวมโครงการอื่นๆ ของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่เราสามารถปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นลงได้ โดยพรรคยืนยันว่า เราจะไม่ยกเลิกบัตรคนจน แต่จะเปิดโอกาสประชาชนเลือกระหว่างบัตรคนจน หรือโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล
พร้อมเชื่อว่า หากสามารถเริ่มโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลได้ ก็คงไม่มีใครอยากไปใช้บัตรคนจนอีกแล้ว สามารถลดงบประมาณตรงส่วนนี้ได้ 5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 67 ยังไม่ผ่านวาระใด หากสามารถฟอร์มรัฐบาลในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.สามารถเข้าไปพิจารณางบประมาณปี 67 ได้ และสามารถรีดงบประมาณส่วนเกินได้อีกหลายแสนล้านบาท