นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกระแสตอบรับของประชาชนต่อพรรคก้าวไกลที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ว่า จากเครื่องมือติดตามสื่อสังคมออนไลน์ (social monitoring) เราเห็นได้จากยอดคนที่เข้ามามีส่วนร่วม (engagement) และยอดการค้นหา พรรคก้าวไกลมีจำนวนสูงที่สุด นำทุกพรรคการเมือง โดยหากดูเฉพาะ Google trends ในช่วง 30 วันย้อนหลัง จะพบว่า 10 อันดับแรกของข้อความที่ประชาชนค้นหาเกี่ยวกับพรรคก้าวไกล เป็นการค้นหาเบอร์พรรค และเบอร์ผู้สมัคร ส.ส.
ดังนั้น แม้ว่าจะมีกติกาที่สร้างความสับสนยุ่งยากให้ประชาชนในการจดจำเบอร์ แต่พรรคก้าวไกลได้รวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่จำเป็นต่อการเลือกพรรคก้าวไกลในเว็บไซต์ https://election66.moveforwardparty.org/ เรียบร้อยแล้ว โดยในเว็บไซต์นี้ ไม่ได้มีแค่ชื่อหรือเบอร์ของผู้สมัครเท่านั้น แต่มีประวัติ วิสัยทัศน์ และอัปเดตการทำงาน นอกจากนี้ ยังมี 312 นโยบาย ที่จะเปลี่ยนประเทศไทยทุกมิติ หากสนใจนโยบายไหน เข้าไปดูรายละเอียดได้ เว็บไซต์นี้ที่เดียวจบ
ส่วนกระแสจากผลโพล พบว่าสอดคล้องกับกระแสในออนไลน์ แสดงให้เห็นว่าคะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เพิ่มขึ้นมาก หลังจากที่เรามีโอกาสนำเสนอจุดยืน วิธีการทำงานทางการเมือง แคนดิเดทนายกฯ รายชื่อผู้สมัครทั้งแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ และนโยบายให้ประชาชน
อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำว่าพรรคไม่ประมาท แม้คะแนนนิยมของพรรคดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่ใช่อันดับ 1 ยังมีประชาชนอีกหลายคนที่ลังเล หรือยังไม่ตัดสินใจ ยังไม่รู้นโยบายและวิสัยทัศน์ของพรรค หรือบางคนยังเข้าใจบางเรื่องไม่กระจ่าง
"ในอีก 20 กว่าวันที่เหลืออยู่ อะไรก็เกิดขึ้นได้ พรรคก้าวไกลจะทำงานให้หนักขึ้นในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ให้สมกับที่ประชาชนหลายคนฝากความหวังในการเปลี่ยนแปลงประเทศไว้ที่พรรคก้าวไกล" โฆษกพรรคก้าวไกล ระบุ
โดยก้าวต่อไปของพรรคก้าวไกล ในวันเสาร์ที่ 22 เมษายนนี้ จะเป็นการปราศรัยใหญ่ของพรรคในโค้งสุดท้าย "ทัพใหญ่ก้าวไกล ปราศรัยโค้งสุดท้าย" ที่ลานหน้าสามย่านมิตรทาวน์ เวลา 16.00-19.00 น. ซึ่งแกนนำพรรคทุกคน จะมารวมตัวกันในงานนี้ ก่อนที่ทุกคนจะกระจายไปหาเสียงในทุกภาคของประเทศ และจะกลับมารวมกันอีกครั้งในวันที่ 12 พฤษภาคม
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การจัดทัพใหญ่ปราศรัยครั้งนี้ เพื่อส่งสัญญาณถึงผู้สมัครทุกคน รวมถึงผู้สนับสนุนพรรคที่มีอยู่ทั่วประเทศ ให้ช่วยกันหาเสียงอย่างไม่ย่อท้อในช่วงเวลาที่เหลือไปจนถึงวันเข้าคูหา แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อเป้าหมายของพรรค คือการเปลี่ยนประเทศนี้ จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจนได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ที่เป็นฐานเสียงเดิมตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคก้าวไกลหวังท้าชิงทั้ง 33 เขต ไม่ตกหล่นเขตใดแน่นอน