องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เผยแพร่ "รายงาน 10 ปีคดีโกงของนักการเมืองไทย" พบ 61 คดี และมีนักการเมืองกระทำผิด 68 คนซึ่งมีลักษณะการกระทำความผิด 10 แบบทั้งจากพรรคใหญ่และเล็กทำกันเป็นเครือข่ายร่วมกับข้าราชการประจำแต่น้อยมากที่นักการเมืองจะถูกดำเนินคดี หวังสร้างการตระหนักรู้ให้ประชาชนเจ็บแล้วต้องจำไม่เลือกคนโกงเข้ามาบริหารบ้านเมือง
นายมานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ระบุว่า ทั้ง 61 คดี สามารถจำแนกตามลักษณะความผิด ดังนี้ (1) โกงเลือกตั้ง 25 คดี (2) ยื่นบัญชีทรัพย์ สินเท็จ 9 คดี (3) โกงจัดซื้อจัดจ้างและฮั้วประมูล 8 คดี (4) เอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง 8 คดี (5) ประพฤติมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ 3 คดี (6) แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ 2 คดี (7) ร่ำรวยผิดปกติ 2 คดี (8) บุกรุกที่ดินหลวง 2 คดี (9) เรียกรับสินบน 1 คดี (10) เครื่องราชอิสริยาภรณ์ 1 คดี และสำหรับนักการเมือง 68 คนในที่นี้หมายถึง ส.ส. ส.ว. สนช. รัฐมนตรี ทั้งจากพรรคเล็ก พรรคใหญ่ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
"ข้อมูลนี้คือบทเรียนความเสียหายของแผ่นดินที่เกิดจากคอร์รัปชันโดยนักการเมือง องค์กรฯจัดทำขึ้นด้วยเจตนาสุจริต ไม่ได้ต้องการจงใจใส่ร้ายผู้ใด แต่ต้องการให้ประชาชนตื่นตระหนักว่า อย่าลืมความเสียหาย อย่ายอมรับความหายนะอีกต่อไป การโกงซับ โกงซ้อน โกงซ่อนเงื่อน การพลิกแพลงกฎหมายและใช้โวหารจอมปลอมของนักการเมืองทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับประชาชนที่จะรู้เท่าทัน ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องต้องเรียนรู้ร่วมกันเพื่อหาทางป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ" นายมานะ กล่าว
โดยทั่วไปคดีคอร์รัปชันโครงการขนาดใหญ่มักมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง ทำกันเป็นเครือข่ายและมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมด้วย อย่างไรก็ตามกลับพบว่าส่วนใหญ่มีแต่ข้าราชการที่ถูกดำเนินคดี เช่น คดีถุงมือยาง (ความเสียหาย 2,000 ล้านบาท) คดีสร้างโรงพัก (มูลค่า 5,848 ล้านบาท) และแฟลตตำรวจทั่วประเทศ (มูลค่า 3,700 ล้านบาท) เว้นแต่คดีนั้นมีหลักฐานแน่นหนาว่าโดยนักการเมือง เช่น คดีสนามฟุตซอล (มูลค่า 4,450 ล้านบาท) และคดีรุกป่า
ทั้งนี้ คดีที่ระบุได้ว่าสร้างความเสียหายให้ประเทศมูลค่าสุงสุดในรอบสิบปี ได้แก่ คดีโครงการจำนำข้าว (มูลค่า 1.3 แสนล้านบาท) ตามด้วยคดีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน (มูลค่า 2.49 หมื่นล้านบาท) ไม่เพียงเท่านั้น เฉพาะ 8 คดีที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและฮั้วประมูลมีมูลค่าความเสียหายรวมกันราว 5.2 หมื่นล้านบาท
"ในแต่ละปีเกิดเรื่องอื้อฉาวและเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.และยื่นฟ้องต่อศาลจำนวนมาก แต่มีเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้นที่ถูกชี้มูลและศาลตัดสินว่าผิดจริง คดีอื้อฉาวจำนวนมากใช้เวลาดำเนินคดีมากกว่า 10 ปีถึง 30 ปีก็มี บางคดีผ่านไป 20 ปีเพิ่งแจ้งข้อกล่าวหา บางคดีเอาผิดใครไม่ได้เพราะหมดอายุความ และความผิดมีโอกาสเกิดขึ้นในทุกกระทรวงและหน่วยงานรัฐพอๆ กัน โดยไม่จำกัดว่าคนผิดต้องเป็นรัฐมนตรีที่มีอำนาจบริหารเท่านั้น แต่ ส.ส. กรรมาธิการ และเครือข่าย ก็สามารถเชื่อมโยงกันทำร้ายบ้านเมืองได้ และนักการเมืองทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและแต่งตั้ง ก็มีโอกาสคอร์รัปชันได้พอกัน" นายมานะ กล่าว
รายงานนี้ยังระบุข้อมูลที่น่าสนใจด้วยว่า ในปี 2564 ไม่ปรากฏว่ามีคดีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนักการเมืองเลย และในการเลือกตั้งครั้ง 2566 นี้มีนักการเมืองหลายคนที่ถูกดำเนินคดีคอร์รัปชันกลับลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งที่รู้กันดีว่า ผู้ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดในคดีคอร์รัปชันจะหมดสิทธิ์การเป็น ส.ส. แล้วเลือกตั้งใหม่ทันที
นอกจากนั้น ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการดำเนินคดีนักการเมืองข้อหาร่ำรวยผิดปกติน้อยมาก ทั้งที่พบว่านักการเมืองแจ้งบัญชีทรัพย์สินให้ร่ำรวยมากขึ้นหรือลดลงอย่างผิดปรกติจำนวนมาก ขณะเดียวกันพฤติกรรมประหลาดของนักการเมืองเมื่อเกิดคดีความ หรือส่อว่าจะมีคดี เช่น จดทะเบียนหย่าจากคู่สมรส, เปลี่ยนชื่อ-นามสกุล เป็นต้น และมีคดีของอดีตนายกรัฐมนตรี แม้เสียชีวิตไปแล้ว ทายาทยังต้องชดค่าเสียหายให้แก่รัฐ
สำหรับการประเมินมูลค่าความเสียหายจากคอร์รัปชันนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะไม่สามารถคำนวณความเสียหายต่อเนื่องที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานและประชาชนได้ ทั้งปัญหาคุณภาพชีวิตและปัญหาปากท้อง ชัดเจนอย่างที่สุดว่า คอร์รัปชันเป็นตัวการตอกย้ำซ้ำเติมให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม เช่น การที่รัฐซื้อของแพงได้ของไม่ดีหรือล่าช้า ย่อมส่งผลให้เกิดอุปสรรคหรือด้อยคุณภาพในการให้บริการประชาชนด้วยเช่นกัน รวมถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ เกิดความไม่เป็นธรรมทางการค้า หรือความขัดแย้งในสังคมตามมา
"จากรายงานฯนี้ยิ่งเห็นชัดว่าหากเราเลือกนักการเมืองโกงเข้ามา ประเทศอาจล่มจมได้ และนี่คือบทเรียน" นายมานะ กล่าว