นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า สาเหตุที่ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นผิดปกติจนส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากขาดการวางแผนที่ไม่ตระหนักว่าประชาชนจะได้รับผลกระทบ และเป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างมากที่พรรคการเมืองต่างๆ ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่งคิดออก คิดได้ อย่างน่าตกใจ ทั้งที่นั่งอยู่ในตำแหน่งมาตั้ง 8 ปี
ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้เปิดตัวนโยบาย "ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ลดราคาทันที" มาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพราะเรามองเห็นปัญหาและรู้วิธีการแก้ไข จนในวันนี้พบว่าปัญหาค่าไฟฟ้าแพงขึ้นเกิดจากสาเหตุดังนี้
1.ระบบการคิดในโครงสร้างพลังงาน เป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นการส่งผ่านไปให้ประชาชนเท่านั้น (Cost pass-through) โยนให้ประชาชนรับ ไม่ได้คิดถึงประสิทธิภาพในการบริหาร
2.ค่าพร้อมจ่าย ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องใช้จริง 54% ขณะที่ความต้องการใช้จริงอยู่ที่ 15% ขณะนี้ไฟฟ้าเกิน 54% ซึ่งค่าพร้อมจ่ายนี้ผูกพันกับข้อสัญญาของผู้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งการแก้ไขไม่ใช่เรื่องง่าย แต่รัฐต้องผ่อนปรนหาวิธีการจัดการ มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยมีศักยภาพที่สามารถทำได้
3.โครงสร้างการบริหารค่าไฟฟ้า ปัจจุบันโรงไฟฟ้าผลิตอยู่ 60% สายไฟฟ้า 25% รวมแล้วเป็น 85% ที่เหลือสำหรับสำรองอีกประมาณ 15% ซึ่งเป็นโครงสร้างปกติ หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะกระจายออกไปให้ใกล้กับความต้องการ สามารถประหยัดในส่วนของ 25% ออกไปได้ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และอื่นๆ ทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลงได้
ส่วนในระยะยาว แหล่งก๊าซธรรมชาติของคนไทยต้องใช้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ที่ผ่านมาปล่อยให้การลงทุนชะงักไป 3 ปี และเพิ่งเริ่มการลงทุนใหม่ด้วยเหตุผลทางการบริหาร เมื่อครั้งที่ตนเป็น รมว.พลังงาน ก่อนปี 2548 ได้อยู่ในระหว่างการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) ผ่านมา 20 ปี ยังไม่บรรลุข้อตกลง หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะเร่งดำเนินการเจรจาให้แล้วเสร็จ และจะจัดหาแหล่งก๊าซร่วมกับกัมพูชาเพิ่มเติม เพื่อลดค่าใช้จ่ายประชาชนลงให้ได้
ขณะที่ราคาน้ำมันแพง เกิดจากโครงสร้างราคาน้ำมันที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นโครงสร้างที่ใช้มาตั้งแต่ที่ประเทศไทยเปิดให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นไทยออยล์ โรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของประเทศ โดยขณะนั้นมีการบวกค่าขนส่งน้ำมันจากสิงคโปร์ แต่ปัจจุบันไม่มีแล้วจึงสามารถดึงค่าขนส่งออกได้ และภาษีสรรพสามิต และภาษีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องปรับลดลงให้เหมาะสม และแปรผันตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมั่นใจว่าหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จากการบริหารจัดการ ราคาน้ำมันดีเซลจะไม่เกิน 30 บาท/ลิตร
ราคาแก๊สหุงต้ม ปัจจุบันมีการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสม เพราะมีการนำเข้าแก๊สจากต่างประเทศซึ่งมีราคาแพง และใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ไปชดเชยแก๊สที่นำเข้า จนกองทุนน้ำมันฯ ติดลบไปกว่า 89,800 ล้านบาท ทั้งที่ในอ่าวไทยมีแก๊ส แต่ส่งให้โรงงานปิโตรเคมี หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะบริหารจัดการ โดยนำแก๊สราคาถูกที่ผลิตในประเทศ กับแก๊สราคาแพงจากการนำเข้ามาถัวเฉลี่ยกัน เพื่อให้เกิดราคาที่เหมาะสมต่อพี่น้องประชาชน และเพื่อให้การใช้เงินกองทุนน้ำมันเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน รัฐบาลบริหารจัดการกองทุนน้ำมันติดลบอยู่ที่ 89,800 ล้านบาท โดยพบว่านำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปใช้ในการชดเชยราคาน้ำมัน 42,921 ล้านบาท ชดเชยราคาแก๊สหุงต้ม 46,879 ล้านบาท โดยเป็นการชดเชยให้แก๊สหุงต้มมากกว่า
"เราคือผู้ที่เข้าใจ และตระหนักในเรื่องนี้ก่อน เพราะทำงานใกล้ชิดกับผู้ประกอบการ และจะเจรจากับประเทศต่างๆ ได้ ภายใต้ปรัชญาสำคัญของเรา คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส พรรคเพื่อไทยตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ยืนยันจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่เปิดตัวในช่วงปลายปีที่แล้ว วันนี้ถึงเวลาแล้วจริงๆ เราคิดเป็น คิดใหญ่ และทำได้จริง" นพ.พรหมินทร์ กล่าว
ด้าน นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า จากกระแสข่าวที่ไฟฟ้าแพงโดยอ้างว่าเป็นผลจากสมัยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เซ็นสัญญาเพิ่มกิโลวัตต์นั้น ซึ่งหากย้อนไปช่วงดังกล่าว จะพบว่า GDP ประเทศไทยเติบโตประมาณ 7% ดังนั้นการมีกิโลวัตต์ไฟฟ้าที่เหลือเพื่อการรองรับเศรษฐกิจที่โตขึ้น จึงเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่ 8 ปีที่ผ่านมา GDP ไทยโตต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ไว้จากการบริหารของรัฐบาลนี้ หากจะใช้ข้ออ้างว่าต้องมีส่วนเพิ่มเติมตามขีดความสามารถของเศรษฐกิจ (Access capacity) ให้มากกว่า 54% ถือว่าไม่ค่อยเหมาะสม
อีกทั้ง คสช. ทำรัฐประหาร มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานชุดใหม่ และไม่มีการเปิดประมูลให้ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเข้ามาอีก และไม่มีการเจรจากับภาคเอกชน ทั้งที่การใช้พลังงานของประเทศลดลง ดังนั้นจึงต้องเข้าไปเจรจากับโรงไฟฟ้าเพื่อปรับลดการผลิตไฟฟ้าโดยทำอย่างเป็นธรรม
ขณะที่ช่วงโควิด-19 กำลังระบาด ได้มีการปิดโรงไฟฟ้า 7-9 โรง แต่โรงไฟฟ้าเหล่านั้น ยังได้รับรายได้เหมือนเดิม อีกทั้ง 6 เดือนก่อนยุบสภา มีการเจรจาซื้อไฟฟ้าอีก 3 แหล่งเพิ่มอีกประมาณ 1,000 กิโลวัตต์ และมีการทำสัญญาอนุมัติที่เขื่อนหลวงพระบางอีก 35 ปี ซึ่งเปรียบเสมือนการล็อคตัวเองไว้กับค่าใช้จ่าย ซึ่งปกติควรต้องมีความยืดหยุ่นมากกว่านี้
"ข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้ค่าไฟแพง จึงไม่เป็นความจริง แต่เกิดจากการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ และวิสัยทัศน์ที่ไม่ชัดเจนมากกว่า ที่ทำให้ค่าไฟแพงขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน" นายศึกษิษฏ์ กล่าว