นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พร้อมด้วย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง กทม. และ น.ส.เพียงออ เลาหะวิไลย นักวิจัยมูลนิธิสถาบันเพื่อพัฒนานวัตกรรม Innova Foundataion และอาจารย์วิทยาลัยนานาชาตินวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกันชี้แจงกรณีที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุนโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 66 ของพรรคใช้งบประมาณมากที่สุด 1.9 ล้านล้านบาท
โดย น.ส.เพียงออ กล่าวว่า นโยบายของ ภท.มีทั้งสิ้น 21 นโยบาย ไม่ได้อาศัยงบประมาณการลงทุนจากรัฐเพียงอย่างเดียว แต่จะหางบประมาณจากแหล่งอื่น ได้แก่ ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการแก้กฎหมาย อาทิ นโยบายพักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก ใช้งบจากแหล่งอื่นด้วยการระดมเงินจากประชาชน และลงทุนออกพันธบัตร 4 รุ่น จำนวน 1.6 ล้านล้านบาท จะสามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเมื่อจบโครงการจำนวน 4.79 แสนล้านบาท, โครงการเงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาทเพื่อคนไทย ใช้งบจากแหล่งอื่นเช่นกันจำนวน 2.5 ล้านล้านบาท ด้วยการแก้กฎหมายของกระทรวงการคลัง เพื่อเปิดโอกาสสถาบันการเงินอื่นๆ (Non Bank) และผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เข้ามาเปิดโอกาสให้ประชาชนมากขึ้น จากเดิมที่จำกัดเพียงไม่กี่สถาบันการเงิน
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง สร้างเศรษฐกิจไทยมั่งคั่ง ใช้งบจากแหล่งอื่นจำนวน 1 ล้านล้านบาท ใช้วิธีการส่งเสริมการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐกับเอกชน (PPP) ซึ่งจะได้ผลตอบแทน 1.3 ล้านล้านบาท เป็นต้น รวมถึงโครงการส่งภาษีสู่บ้านเกิดเมืองนอน ไม่ต้องใช้งบรัฐแต่เป็นการจัดสรรภาษีกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ใครที่มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดไหนก็จะส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจำนวน 30% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงสู่ท้องถิ่นโดยตรง ขณะที่นโยบายที่ใช้การลงทุนของภาครัฐ คือกองทุนประกันชีวิตผู้สูงอายุ จำนวน 37,098 ล้านบาท
สำหรับ 21 นโยบาย จะใช้งบภาครัฐจำนวน 223,629 ล้านบาท งบจากแหล่งอื่น 7,225,880 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 7,449,509 ล้านบาท ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเฉพาะส่วนรัฐ 6,138,892 ล้านบาท และผลตอบแทนมากกว่าการลงทุน 5,915,262 ล้านบาท
นายศุภชัย ยืนยันว่า นโยบายของพรรค ได้ผ่านการศึกษาร่วมกับนักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีแล้วว่าสามารถทำได้จริง ไม่เป็นภาระกับรัฐและประชาชน ผ่านทั้ง 21 นโยบาย ยึดแนวทางเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาสให้ประชาชน และสร้างโอกาสให้ประเทศเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายศุภชัย กล่าวว่า การที่ทีดีอาร์ไอระบุว่านโยบายของ ภท.ใช้งบประมาณมากที่สุด ถือเป็นการเข้าใจผิด เพราะไปดูตัวเลขสุดท้าย โดยไม่ได้ไปดูแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งหลายโครงการไม่ได้ใช้งบประมาณของประเทศ ทั้งที่เราใช้งบประมาณของรัฐเพียง 223,629 ล้านบาท ไม่ใช่ตัวเลขที่ทีดีอาร์ไอบอกไว้ว่า ภท.ต้องใช้เงินถึง 1.9 ล้านล้านบาท สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง ยืนยันว่าเราไม่ใช่งบ แต่จะเชิญเอกชนเข้ามาลงทุนเหมือนโครงการอีอีซี รวมทั้งออกกฎหมายเขตพัฒนาพิเศษภาคใต้
"ขณะนี้ ได้ทำหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับการใช้งบประมาณไปให้ทีดีอาร์ไอแล้ว ระหว่างนี้ที่กำลังดูข่าว อยากเรียกร้องให้ทีดีอาร์ไอที่เป็นสถาบันที่เป็นที่ยอมรับของประเทศ ช่วยแก้ไขข้อมูลที่เผยแพร่มาก่อนหน้านี้ เพราะมันมีผลต่อคะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทย ก็ฝากท่านไปดูตัวเลขใหม่ ขอย้ำว่านโยบายของพรรคภูมิใจไทยเป็นการลดรายจ่าย สร้างรายได้ สร้างโอกาสให้ประชาชน โดยไม่ให้กระทบต่องบประมาณแผ่นดิน เราใช้งบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหลายๆ พรรคการเมือง รวมทั้งนโยบายของพรรคยังสร้างรายได้ให้เข้ามาอย่างมหาศาลอีกด้วย" นายศุภชัย กล่าว
ขณะที่นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า มีการบิดเบือนงบประมาณเกี่ยวกับการผลักดันนโยบาย ซึ่งทุกนโยบายของ ภท.คำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง หลายโครงการไม่ได้เป็นรูปแบบใหม่ หรือรัฐต้องมาลงทุนเต็ม ภท.เน้นนโยบายที่ไม่ใช่ประชานิยม นโยบายนอกจากทำได้จริงแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง ที่ทีดีอาร์ไอออกมาระบุว่า ภท.ใช้งบ 1.7 ล้านล้านบาทนั้น ข้อเท็จจริงไม่ได้ใช้งบประมาณเลย หากไปดูพรรคการเมืองอื่นมีการใช้งบที่มากกว่านี้ ถ้าทีดีอาร์ไอใช้มาตรฐานเดียวกัน ตนมั่นใจว่า ภท.ใช้งบไม่ติด 1 ใน 5 พรรคการเมืองที่ใช้งบประมาณมากที่สุด