นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีการยิงเลเซอร์ประชาสัมพันธ์ชื่อ และเบอร์พรรครวมไทยสร้างชาติ บนสะพานพระราม 8 ว่า พรรคไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าขัดกฎหมายหรือไม่ และเป็นการกระทำของผู้ใด ซึ่งหากบุคคลที่ดำเนินการมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรค ก็จะดำเนินการตามมาตรการทันที
พร้อมยืนยันว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กำชับผู้สมัคร ส.ส. ให้ใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ และหาเสียงอย่างเหมาะสม ระมัดระวัง และกำชับให้กระทำตามกฎหมาย และกติกาที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด
โดยที่ผ่านมา หากพบว่ามีการประชาสัมพันธ์ที่เข้าข่ายไม่เหมาะสม พรรคจะดำเนินการแจ้งเตือน และสั่งให้แก้ไขปรับปรุงทันที
ด้านนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. กล่าวว่า ขณะนี้ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในฐานะเจ้าของพื้นที่ กำลังดำเนินการตรวจสอบว่ามีการขอออนุญาตใช้พื้นที่หาเสียงหรือไม่ ซึ่งปกติแล้วการใช้พื้นที่ที่เป็นของราชการจะต้องขออนุญาตก่อน และเจ้าของสถานที่จะเป็นผู้พิจารณา
ส่วนจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือเหมาะสมหรือไม่นั้น ส่วนตัวคิดว่าพรรคการเมืองน่าจะเข้าใจเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี เพราะก่อนเปิดรับสมัครเลือกตั้ง กกต.ได้ชี้แจงกับพรรคการเมืองและผู้สมัครแล้ว โดยกรณีดังกล่าวเจ้าของพื้นที่คือ กทม. หากอนุญาตก็ต้องอนุญาตทั้งหมด เพื่อรักษาความเป็นกลาง
"หากตรวจสอบพบว่ามีความผิด ก็จะผิดเรื่องการวางป้ายหาเสียงที่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และจะดำเนินคดีต่อไป" นายอิทธิพร กล่าว
ทั้งนี้ การหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.66 ประธาน กกต. ได้เน้นย้ำให้พรรคการเมืองหาเสียงโดยยึดระเบียบในการหาเสียงและปฏิบัติตามกฎหมายให้ถูกต้อง
ขณะที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ในฐานะอดีตกกต. ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กถึงกรณีภาพการยิงเลเซอร์ ประชาสัมพันธ์ ชื่อพรรคและหมายเลขประจำพรรครวมไทยสร้างชาติ อยู่บนสะพานพระราม 8 ว่า หากภาพนี้เป็นเรื่องจริง จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ดังนี้
1. ขนาดป้ายใหญ่เกินกว่าขนาดที่ กกต. กำหนด โดยขนาดป้ายหาเสียงใหญ่สุด คือ 1.30 x 2.45 เมตร
2. สะพานพระราม 8 เป็นทรัพย์สินของราชการ มีหน่วยงานราชการดูแล หากมีคำขอที่ผิดกฎหมาย หน่วยราชการไม่สามารถอนุมัติได้ และอาจเข้าข่ายการวางตัวไม่เป็นกลาง และการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อสนับสนุนพรรคการเมือง
3. หากเป็นการกระทำโดยพลการของเอกชน หน่วยราชการที่ดูแล จะต้องแจ้งความดำเนินคดีฐานบุกรุก
4. หาก กกต. เห็นแล้วไม่จัดการใด ๆ ถือว่า กกต.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่