นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบหลังพบข้อมูลที่น่าเชื่อว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือหุ้นใน บมจ. ไอทีวี (ITV) จำนวน 42,000 หุ้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) บัญญัติห้ามมิให้บุคคลที่เป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใด ๆ ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.
"เรื่องนี้อยากให้ กกต.ดำเนินการโดยเร็ว เพราะผลที่ออกมาก่อนและหลังเลือกตั้งจะแตกต่างกัน ถ้าทำเสร็จหลังการเลือกตั้งต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะเหมือนกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ศาลวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติเนื่องจากถือหุ้นวีลัค มีเดีย จะทำให้ความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ...แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความผิดเฉพาะตัว แต่ถ้าศาลตัดสินเรื่องใหญ่มาก และยังมีข้อกฎหมายอีกส่วนหนึ่ง แต่ขอรอให้ศาลตัดสินก่อน แต่บอกได้ว่าจะมีผลกระทบมหาศาล" นายเรืองไกร กล่าว
ส่วนที่มีการมองว่าตนยื่นเรื่องนี้เพื่อสกัดนายพิธานั้น นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่เกี่ยว และไม่กังวลว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
นอกจากนี้ ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้ไปยื่นคำร้องสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบว่านายพิธาแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จหรือไม่ หลังจากนายพิธา อ้างว่าได้หารือและชี้แจงกับ ป.ป.ช.แล้ว โดยนายเรืองไกร กล่าวว่า เป็นกฎหมายคนละฉบับกัน เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติการลงสมัคร ส.ส. สิ่งที่นายพิธาอ้างน่าจะเป็นเรื่องการถือครองหุ้นและแจ้งบัญชีทรัพย์สิน โดยได้ไปตรวจสอบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของนายพิธาระหว่างดำรงตำแหน่ง ส.ส. ก็ไม่พบว่ามีการแจ้งหุ้นดังกล่าวต่อ ป.ป.ช.
ขณะที่นายพิธา โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงถึงกรณีมีการกล่าวหาว่าถือหุ้น ITV ทำให้มีคุณสมบัติ หรือลักษณะต้องห้ามไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ว่า ขณะนี้พรรคก้าวไกลมาแรงที่สุด ย่อมเป็นธรรมดาที่จะถูกสกัด แต่ขอให้ผู้สมัคร ทีมงาน หัวคะแนนธรรมชาติ และประชาชนผู้สนับสนุนทุกคน อย่าหวั่นไหว อย่าเสียสมาธิกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ขอให้ทุกคนมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งอย่างเต็มที่ ไม่มีอะไรจะมาขัดขวางก้าวไกลได้อีก
อย่างไรก็ตาม ไม่มีความกังวล เพราะไม่ใช่หุ้นของตน แต่เป็นของกองมรดก ตนมีฐานะเป็นเพียงผู้จัดการมรดก และได้แจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปนานแล้ว และทีมกฎหมายของพรรคพร้อมชี้แจงอยู่แล้วเมื่อ กกต. ส่งคำร้องมา
"เรื่องนี้ อยากฝากให้ทุกคนตั้งใจดูให้ดี เพราะอาจมีเจตนาสกัดพรรคก้าวไกล เพราะเรากำลังทลายทุนผูกขาด ในประเทศนี้" นายพิธา ระบุ
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกกต. จะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดเท่านั้น ไม่มีทางเป็นอื่น เพราะการที่นายพิธา ถือหุ้นสื่อ ITV 42,000 หุ้น โดยจะอ้างเรื่องการเป็นผู้จัดการมรดกตั้งแต่บิดาเสีย เมื่อปี 2549 ผ่านมา 17 ปียังไม่ได้แบ่งมรดกไม่ได้
- การเป็นเจ้าของหุ้น เริ่มตั้งแต่เจ้ามรดกเสียขีวิต หุ้นนั้นตกเป็นของทายาททันทีที่เจ้ามรดกเสียชีวิตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท ดังนั้น การที่นายพิธา อ้างว่า "ไม่ใช่หุ้นของตน เป็นกองมรดก ตนเพียงมีฐานะผู้จัดการมรดก" นั้นจึงไม่ถูกต้อง
(1) นายพิธา คือหนึ่งในทายาทโดยธรรม หุ้นนั้นตกเป็นของนายพิธาและทายาทอื่นด้วยทันทีที่บิดาเสียชีวิต
(2) นายพิธา แสดงตนรับโอนหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิได้รับมรดกแล้ว การเป็นเจ้าของหุ้นในส่วนของนายพิธา จึงสมบูรณ์แล้ว
- บริษัท ITV แจ้งว่า ยังประกอบกิจการอยู่และมีรายงานแสดงผลของกิจการไม่ว่า จะขาดทุนหรือกำไรก็ตาม ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยเป็นอื่นได้ว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้น ITV ที่เป็นสื่อมวลชน อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยคดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือหุ้นบริษัท วีลัคมีเดีย จำกัด ทำให้ขาดคุณสมบัติและถูกตัดสิทธิทางการเมือง
การอ้างว่า ถือหุ้นข้างน้อยไม่อาจครอบงำกิจการได้ และจะต่อสู้ในเรื่องการขัดกันระหว่างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในอดีตกับคำวินิจฉัยศาลฎีกาปัจจุบันในคดีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต่อสู้ได้ ส่วนที่ศาลจะเห็นชอบด้วยและวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ด้วยหรือไม่ เป็นกรณีที่ต้องไปต่อสู้กัน