นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคและทีมเศรษฐกิจ เข้าพบตัวแทนสภาอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ (Young FTI) เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะทางนโยบายจากนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่จะเป็นอนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทย
สำหรับบรรยากาศการพบปะพูดคุยเป็นไปอย่างชื่นมื่น ตัวแทนนักธุรกิจจากสภาอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ ได้นำเสนอปัญหาและข้อเสนอนโยบายเพื่อแก้ปัญหาในด้านต่างๆ เช่น นโยบายการพัฒนาสินค้าเกษตร การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมภาคการผลิต ลิขสิทธิ์ ประสิทธิภาพการทำงานของรัฐ การคอร์รัปชัน นวัตกรรม และโอกาสในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานของประเทศไทย
นายพิธา ได้กล่าวกับที่ประชุมว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลมองเห็นบทเรียนจากเศรษฐกิจไทยที่เติบโตมา 40 ปี คือในอนาคตต้องเป็นการเติบโตแบบ inclusive growth เศรษฐกิจโตด้วย และลดความเหลื่อมล้ำ เปิดโอกาสให้ทุกคนเติบโตด้วย
พร้อมย้ำถึงนโยบายในการปฏิรูปภาคอุตสาหกรรมไทยผ่าน 3F
หนึ่งคือ Fair Game ความเท่าเทียมที่จะแข่งกันระหว่างทุนใหญ่กับทุนเล็ก ทุนไทยกับทุนต่างชาติ ยกตัวอย่าง เช่น ผลิตภาพการผลิตภาคเกษตร ต้นเหตุของปัญหา คือ ที่ดิน เมื่อเกษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินของตัวเองก็ไม่สามารถพัฒนาผลิตภาพการผลิตของตัวเองได้
ดังนั้น ต้องแก้ที่กระดุมเม็ดแรก มองให้เห็นโครงสร้างทั้งระบบ เช่นเดียวกับการขอใบอนุญาตต่างๆ ที่ปัญหาความล่าช้าเกิดขึ้นจากกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพ การรวมศูนย์อำนาจ ถ้าประเทศไทยมีการกระจายอำนาจ จะทำให้ท้องถิ่นกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศระเบิดศักยภาพในการเติบโต สามารถสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้อีกมหาศาล
สองคือ Firm ground หมายถึงต้องสู้กันด้วยผลิตภาพ (productivity) ไม่ใช่สู้กันด้วยการกดค่าแรง อยากทำความเข้าใจว่าค่าแรง 450 บาท ไม่ใช่เป็นนโยบายที่เราคิดเอาเอง แต่เราเอาตัวเลข ไม่ว่าจะเป็นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ผลิตภาพแรงงาน ถ้าคิดตั้งแต่ปี 2556 มาจนถึงปัจจุบัน ค่าแรงที่ควรจะเป็นคือเท่าไร ตัวเลขอยู่ที่ใกล้เคียงกับ 450 บาท ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่ได้มีแค่นโยบายเพิ่มค่าแรง แต่มาพร้อมกับแพ็กเกจนโยบายเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจด้วย ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีเอสเอ็มอี และมาตรการเพิ่มสภาพคล่องอื่น ให้ไม่น้อยกว่าในสมัยที่มีการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท
สามคือ Fast growth industries ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ และหาช่องว่างโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยไปพร้อมกับโลก เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมยาเพื่อต่อสู้กับโรคอุบัติใหม่ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนเครื่องบิน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งอุตสาหกรรมชิป และซิลิคอนคาไบด์ที่ประเทศไทยยังมีโอกาส
"เรื่องการบริหารนวัตกรรม สรุปได้เป็นหนึ่งประโยคคือ ?สร้างงานซ่อมประเทศ? ที่เราจะเปลี่ยนจุดอ่อนของประเทศและปัญหาของประชาชน มาเป็นโอกาสของอุตสาหกรรม เพื่อแก้ปัญหาของอนาคต เช่น กฎหมายรถเมล์อนาคต การทำน้ำประปาดื่มได้ ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นได้ทั้งประเทศ คุณคิดว่าจะเป็นโอกาสสำหรับนวัตกรรมมากแค่ไหนของประเทศไทย" นายพิธา กล่าว
ขณะที่อุตสาหกรรมโดรนและการป้องกันประเทศ ถ้าประเทศไทยสามารถส่งเสริมนโยบาย offset policy ได้ แทนที่จะซื้ออาวุธจากต่างชาติ เปลี่ยนเป็นการซื้อพร้อมทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ใช้แรงงานและชิ้นส่วนในประเทศแทนที่จะนำเข้า 100 เปอร์เซ็นต์
ในตอนท้าย นักธุรกิจรุ่นใหม่ฝากความหวังในการสร้างความเปลี่ยนแปลง การทำงานร่วมกับภาครัฐไว้กับทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกลว่าจะทำให้กระบวนการทำงานรวดเร็ว เปิดกว้างการส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆ และทำงานด้วยความโปร่งใส ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน