นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการถือหุ้นของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลว่า มีหลายคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปแล้วที่นำมาเทียบเคียงได้ แต่เป็นคดีเกี่ยวกับการถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม อาจเทียบเคียงได้กับคดีการถือหุ้นเอไอเอสของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เพียงแต่ประเด็นมีความแตกต่างกัน เนื่องจากกรณีของนายชาญชัยเป็นการที่บริษัทแม่ถือหุ้นของบริษัทลูก แต่ก็ต้องนำมาพิจารณาด้วยกันทั้งหมด
ส่วนกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำคำวินิจฉัยของศาลไปยื่นเป็นหลักฐานเพิ่มเติมจะพอใหเสามารถเทียบเคียงได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ยังไม่เห็นว่านายเรืองไกรยื่นประเด็นใดบ้าง ซึ่งตอบไม่ถูกว่าจะให้ไปดูคดีไหน เพราะมีหลายคดี สามารถเทียบเคียงได้ แต่ต้องไปดูกันเอาเอง เพราะไม่ได้มีหน้าที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในส่วนนั้น
นายวิษณุ ยังกล่าวถึงกรณีที่หากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม อยู่รักษาการยาวจะมีผลต่อการเบิกใช้จ่ายงบประมาณหรือไม่ ว่า งบประมาณที่ต้องขอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คืองบกลาง ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์ รักษาการยาวเลยวันที่ 1 ต.ค. 66 ตามรัฐธรรมนูญบอกว่าสามารถใช้งบปีก่อนได้ ซึ่งไม่ถือเป็นงบกลาง ส่วนงบผูกพันเดิมของรัฐบาลชุดนี้ ก็ยังคงผูกพันต่อ
ทั้งนี้ ในส่วนงบประมาณอื่นที่ไม่เกิน 100 ล้านบาท ถ้าไม่เข้าในส่วนของงบกลาง ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอ กกต. ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังทำแบบนี้ ยกเว้นแต่ส่วนที่จะต้องนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เท่านั้น