นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ได้ตรวจข้อมูลของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กรณีการค้ำประกันเงินกู้ 460 ล้านบาทแล้ว พบว่านายพิธา ได้เคยยื่นข้อมูลเกี่ยวกับการค้ำประกันเงินกู้มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นวงเงินกู้เดียวกันหรือไม่ ซึ่งต้องขอเวลาตรวจสอบก่อน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบของ ป.ป.ช. ยังไม่เคยมีใครร้องเรียนเรื่องนี้เข้ามา
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า เมื่อมีการค้ำประกันแล้วไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน จะมีความผิดหรือไม่นั้น นายนิวัติไชย กล่าวว่า การค้ำประกันถือว่ายังไม่มีหนี้ที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงสิทธิ์จากการกู้ยืมเงิน หากลูกหนี้ตัวจริงผิดนัดชำระ ก็จะไปเรียกจากคนค้ำประกันที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบ แต่ตอนนี้เป็นสิทธิของลูกหนี้กับผู้ค้ำประกันเท่านั้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ ป.ป.ช.ต้องพิจารณาว่าจำเป็นต้องยื่นแสดงรายการนี้ด้วยหรือไม่ แต่การตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่านายพิธาเคยยื่นมาแล้ว 1 บัญชี เกี่ยวกับการค้ำประกัน
การยื่นบัญชีทรัพย์สินหรือการยื่นค้ำประกันในลักษณะดังกล่าว หลังรับตำแหน่ง ส.ส. ต้องยื่นภายหลังหรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า หากยื่นบัญชีทรัพย์สินไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมาแจ้ง เว้นแต่ยื่นในกรณีพ้นจากตำแหน่งภายใน 30 วัน เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าให้ยื่นเฉพาะรับตำแหน่งกับพ้นตำแหน่งเท่านั้น แต่ระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง หากมีความผิดปกติก็เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่ต้องตรวจสอบที่มาของรายได้และหนี้สิน
โดยการตรวจสอบก็เป็นไปตามขั้นตอนปกติ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เช่น ถ้ามีการยื่นบัญชีทรัพย์สินเข้ามา ก็ต้องดูว่าเป็นทรัพย์สินจริงหรือไม่ เป็นของใคร ส่วนจะมีปัญหาในภายหลังหรือไม่ ตนยังตอบไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ป.ป.ช.
สำหรับกรณีการถือหุ้น บมจ.ไอทีวี (ITV) ของนายพิธานั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้น เป็นชื่อของนายพิธาจริง ถือครองหุ้นอยู่ 4.2 หมื่นหุ้น มูลค่า 4 หมื่นกว่าบาท ซึ่งต้องตรวจสอบอีกครั้งว่ายื่นมาในฐานะอะไร เนื่องจากมีรายงานว่าเป็นผู้จัดการมรดก โดยตามกฎหมายหากเป็นเจ้าของก็ต้องยื่น
ส่วนกรณีที่ยื่นในภายหลัง อาจจะเข้าข่ายความผิดหรือไม่ ก็ต้องดูที่เจตนา ตนไม่สามารถตอบได้ เพราะต้องมีเรื่องเจตนาและระยะเวลา ขณะที่การตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่าได้ยื่นบัญชีดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2562 เป็นการยื่นเพิ่มเติม ภายหลังเข้ารับตำแหน่งแล้ว ไม่ใช่เป็นการยื่นหลังมีประเด็นแล้ว และข้อมูลการถือหุ้นของนายพิธา จะระบุประเภทกิจการไว้ในใบหุ้นอยู่แล้ว
"หน้าที่หรือคุณสมบัติต้องห้าม ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของ ป.ป.ช. แต่ ป.ป.ช.มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง การมีอยู่จริงของทรัพย์สิน ถ้ามีอยู่แล้วยื่นมา ก็ถือว่าไม่ได้มีเจตนาปกปิด แต่ถ้ามีแล้วไม่ยื่น ก็ถือว่ามีเจตนาหรือจงใจปกปิด ส่วนหลังตรวจสอบแล้วบัญชีทรัพย์สินนั้นจะขัดกับคุณสมบัติการเป็น ส.ส.หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบของ กกต. ซึ่ง กกต.รับทราบ และอยู่ระหว่างการพิจารณา" นายนิวัติไชย กล่าว