นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรคฯ นำโดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานกรรมการ, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง, นายเศรษฐา ทวีสิน, นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์, นายศุภวุฒิ สายเชื้อ, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร เป็นต้น โดยที่ประชุมได้หารือแนวทางสร้างรายได้ให้กับประเทศในด้านต่างๆ
1. ด้านการต่างประเทศ
ที่ประชุมได้พิจารณาการสร้างความเชื่อมั่น และบทบาทของประเทศไทยบนเวทีโลก การอำนวยความสะดวกด้านการศุลกากรแบบไร้รอยต่อ การเจรจาความตกลงการค้าเสรี ไม่ว่าจะเป็นไทย-EU ไทย-EFTA ไทย-GCC ไทย-UK และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) และการรับมือนโยบายเน้นการบริโภคภายในของประเทศจีน และการหาตลาดใหม่ในประเทศที่มีประชากรมาก แต่ปริมาณการค้ากับไทยยังน้อย เช่น ประเทศไนจีเรีย และความท้าทายภาคธุรกิจไทย และโอกาสใน BIMSTEC (ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศบังคลาเทศ-อินเดีย-เมียนมา-ศรีลังกา-ไทย)
2. ด้านภาวะหนี้และการเข้าถึงแหล่งทุน
ที่ประชุมหารือ 3 ปัญหาสำคัญที่ทำให้ภาคเอกชนเข้าไม่ถึงแหล่งทุน คือ 1.การขาดหลักประกันที่ตรงกับความต้องการของสถาบันการเงิน 2.การมีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดี และ 3.แนวทางประกอบธุรกิจไม่ตอบโจทย์ นอกจากนั้น ยังมีความกังวลกับภาวะหนี้เสียของภาคเอกชนที่เป็นระเบิดเวลาที่จะเป็นปัญหาในระยะถัดไป
3. ด้านการเกษตร
ที่ประชุมหารือแนวทางปฏิบัติต่อเนื่องจากแนวนโยบายของพรรค ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตลาดนำการผลิต การเพิ่มผลิตภาพของภาคการเกษตร การขยายพื้นที่ชลประทาน และการปรับพื้นที่เพาะปลูกให้ตรงกับความต้องการของตลาด รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินบนเงื่อนไขการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ใหม่ให้กับประชาชนจากสินทรัพย์ที่ถูกมองข้าม
4. ด้านพลังงาน
ที่ประชุมหารือการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนเรื่องราคาพลังงาน โดยการขยายเวลายกเว้นการเก็บภาษีน้ำมันดีเซล ลิตรละ 5 บาท รวมถึงการปรับโครงสร้างพลังงาน เพื่อแก้ไขปัญหาราคาพลังงานในระยะกลาง-ยาว โดยยึดหลักความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
5. ด้านการท่องเที่ยว
ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง ผ่านวีซ่าแบบเดินทางเข้า-ออกหลายครั้ง (Multiple Entry Visa) การสร้างแรงจูงใจเพื่อเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวแบบพักพิงระยะยาว ผู้สูงอายุ และการดึงดูดนักท่องเที่ยวเอเชียใต้ รวมถึงการแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว