นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบการถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ว่าเข้าข่ายมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) หรือไม่ ซึ่งเป็นการยื่นคำร้องใหม่ หลัง กกต.ไม่รับคำร้องเดิมที่ยื่นเรื่องเกินกำหนดเวลา
นายนพรุจ กล่าวว่า การที่ กกต.ปัดตกคำร้อง ไม่ได้แปลว่าเรื่องนี้ตกไป แต่เป็นความปรากฏต่อ กกต. จึงสั่งดำเนินคดีอาญามาตรา 151 วันนี้ตนจึงมายื่นคำร้องให้ กกต.ตรวจสอบเป็นกรณีใหม่ ซึ่งเป็นการยื่นหลังการเลือกตั้ง และเป็นประเด็นที่นายพิธา โอนหุ้นให้บุคคลอื่นหลังการเลือกตั้ง ซึ่งหาก กกต.ไม่ดำเนินการหรือดำเนินการล่าช้า ตนจะไปยื่นต่อ ส.ส.ที่จะได้รับการรับรอง พร้อมข้อมูลหลักฐาน เพื่อให้เข้าชื่อ 1 ใน 10 ของ ส.ส.ทั้งหมด โดยยื่นผ่านประธานรัฐสภา ซึ่งประธานรัฐสภาไม่มีสิทธิยับยั้ง ต้องส่งตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย
พร้อมระบุว่า หาก ส.ส.ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ที่ต้องการข้อมูล ตนก็พร้อมจะมอบให้ รวมทั้งจะยื่นให้คณะกรรมาธิการวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภา โดยเฉพาะคณะกรรมการตรวจสอบหุ้นของวุฒิสภา ให้ทำการตรวจสอบ เพื่อถ่วงดุลการทำงานกับ กกต.
"ผมจะไม่หยุดดำเนินการ จะนำเสนอข้อมูลต่อสาธารณะ ยืนยันว่าไม่ได้ทำนิติกรรมสงคราม แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายนิติรัฐ ดำเนินการโดยนิติธรรม เป็นการบังคับใช้กับประชาชนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะพรรคก้าวไกลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง ขอให้ทุกพรรคอย่านำมาเป็นเงื่อนไขสร้างความขัดแย้ง สร้างวาทกรรมให้เกิดความสับสน เพราะความผิดปรากฏตามกฎหมาย และข้อมูลที่นำมายื่นนั้น เป็นข้อเท็จจริง แม้ กกต.จะปัดตกด้วยเทคนิคต่างๆ ด้วยข้อกฎหมาย แต่ผมจำเป็นต้องยื่นซ้ำ โดยให้ กกต.พิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ว่าเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามลงสมัคร ส.ส.หรือไม่ หากพบเข้าข่ายมีความผิด ก็ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่ผมจะยื่นหลักฐานให้ ส.ส." นายนพรุจ กล่าว
ส่วนกรณีที่มีการเปิดเผยคลิปการประชุมผู้ถือหุ้น บมจ.ไอทีวี (ITV) ที่ระบุว่าบริษัทฯ ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จะรอผลของข้อพิพาทคดีที่มีการฟ้องร้องกันอยู่ให้จบก่อนนั้น นายนพรุจ กล่าวว่า ข้อเท็จจริง แม้แต่มีหุ้นเดียวหรือปิดกิจการเหมือน "วีลัคมีเดีย" ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ศาลจะตรวจดูว่าถ้าชื่อตรงกับสื่อมวลชน ก็จะไม่แปลความเป็นอย่างอื่น แม้แต่ปิดกิจการไปแล้ว ก็ต้องได้รับโทษ
อย่างกรณีนายสุรโชค ทิวากร ผู้สมัครพรรคไทยภักดี ที่ถือหุ้น บมจ.อสมท (MCOT) เพียง 1 หุ้น หุ้นละ 5 บาท ซึ่งไม่มีโอกาสครอบงำสื่อเลย และไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ตามกฎหมายเมื่อเข้ามาสมัครแล้ว คุณรู้อยู่แล้ว แต่จงใจสมัคร ส.ส. ก็ต้องได้รับโทษ
นายนพรุจ กล่าวว่า สำหรับหลักฐานที่ตนนำมาในวันนี้นั้น เป็นคำสัมภาษณ์ของนายพิธา ที่ยอมรับต่อสื่อว่าได้โอนหุ้นดังกล่าวให้กับทายาทไปแล้ว ส่วนเรื่องบริษัทฯ ปิดหรือไม่ปิดนั้น จะยื่นหลักฐานเพิ่มเติมหลัง กกต.ประกาศรับรอง ส.ส.เพื่อประกอบการพิจารณา การที่ กกต.ปัดตกไม่ได้เป็นเพราะตนยื่นเท็จ แต่เพราะเงื่อนไขเรื่องเวลา และ กกต.ก็นำความทั้งหมดมาดำเนินการเอง
"ใครจะไปดำเนินการแจ้งความเท็จ มันจะกลายเป็นเท็จซ้อน ต้องฝากด้วย เพราะว่า กกต.เป็นคนพูดว่าความปรากฏ คุณต้องไปตีความคำว่าความปรากฏก่อน คือความจริง ไม่ใช่ความเท็จ ไม่อย่างนั้น กกต.ก็จะถูกดำเนินคดีเอง ถ้าเอาความเท็จไปดำเนินการ" นายนพรุจ กล่าว
ส่วนกรณีที่นายพิธาระบุว่า มีความพยายามฟื้นไอทีวีขึ้นเพื่อมาเล่นงานตัวเองนั้น นายนพรุจ กล่าวว่า เป็นวาทกรรม และอาจจะเป็นการมโน ซึ่งนายพิธา มีสิทธิคิดและต่อสู้ เพราะถูกกล่าวหา ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายพิธา แต่ทุกอย่างและข้อเท็จจริงจะปรากฏในชั้นศาล
การที่พรรคก้าวไกล พยายามเปิดโปงว่าเป็นแผนล้มพรรคนั้น นายนพรุจ กล่าวว่า ขณะนี้เขากำลังจุดประเด็น อาจจะมีสื่อมวลชนบางส่วนไปจุดประเด็น แต่ต้องบอกว่าประเด็นจริงๆ แล้วก็เหมือนที่ กกต.ออกมาแถลงว่า ในวันที่ลงสมัครนั้น นายพิธาถือหุ้นสื่อหรือไม่ และสื่อยังดำเนินกิจการอยู่หรือว่าเลิกไปแล้ว แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่มีการจุดประเด็นไปเรื่องอื่น อาจจะเป็นการขยายปม ซึ่งตนไม่สนใจ