นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ส่งหลักฐานเพิ่มเติมทางไปรษณีย์ถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อใช้ประกอบการพิจารณากรณีสอบสวนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส กรณีรู้อยู่แล้วไม่มีสิทธิลงสมัคร ส.ส.แต่ยังลงสมัคร
โดยหลักฐานดังกล่าวเป็นสำเนาเฟซบุ๊กพรรคก้าวไกลที่ได้โพสต์ข้อความหัวข้อ "คนโกงวงแตก ก้าวไกลชำแหละเพิ่มขบวนการปลุกผีไอทีวี" ที่มีเนื้อหากรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงข่าวเปิดคลิปเสียงการประชุมผู้ถือหุ้น บมจ.ไอทีวี (ITV) และสำเนาแบบ ส.ส.4/20 และ ส.ส.4/30 หนังสือยินยอมให้เสนอชื่อรับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ว่า เข้าข่ายตามความในมาตรา 132 หรือไม่
นายเรืองไกร ระบุว่า คำแถลงของนายชัยธวัช ที่บางส่วนกล่าวถึงตนที่นำหลักฐานไม่ตรงตามความจริง ซึ่งขอยืนยันว่าการมายื่นร้องคุณสมบัติของนายพิธาต่อ กกต.นั้น ตนดำเนินการคนเดียว ไม่ได้ร่วมกับผู้อื่น
ส่วนที่นายชัยธวัช ระบุว่า การดำเนินการของ กกต.ตามมาตรา 151 ไม่มีหลักฐานและน้ำหนักเพียงพอนั้น ส่วนตัวเห็นว่า การดำเนินการของ กกต.ตามมาตรา 151 ควรหมายรวมถึงการกระทำตามแบบ ส.ส. 4/20 และส.ส. 4/30 เพราะตามหนังสือยินยอมให้เสนอชื่อรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และหนังสือยินยอมให้เสนอชื่อแต่งตั้งเป็นนายกฯ ซึ่งนายพิธาจะต้องลงนามรองรับไว้แล้ว
การที่ กกต.จะดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ต้องดูในหนังสือยินยอมลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และแคนดิเดตว่า ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม แต่เนื่องจากนายพิธาสมัคร 2 สถานะ ทั้งส.ส.บัญชีรายชื่อ และสมัครแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งห้ามเหมือนกัน ตนจึงขอให้กกต.ตรวจสอบประเด็นนี้เพิ่มเติมเข้าไปด้วย
"การที่ กกต.จะดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ต้องดูในหนังสือยินยอมลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และแคนดิเดทฯ ว่าต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม แต่เนื่องจากนายพิธาสมัคร 2 สถานะ ทั้งส.ส.บัญชีรายชื่อ และสมัครแคนดิเดทนายกฯ ซึ่งห้ามเหมือนกัน จึงขอให้ กกต.ตรวจสอบประเด็นนี้เพิ่มเติมเข้าไปด้วย และที่ก้าวไกลแย้งว่าลักษณะต้องห้ามผู้สมัคร ส.ส.ไม่ครอบคลุมคุณสมบัติแคนดิเดทนายกฯ ขอให้คนพูดไปอ่านรัฐธรรมนูญมาตรา 89 วรรคสอง และพ.ร.ป.ส.ส. มาตรา 14 วรรคสองด้วย" นายเรืองไกร กล่าว