นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบอนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ? ซึ่งมีสาระสำคัญ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2561 เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจงกรณีสัดส่วนการถือหุ้นของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ในรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทที่เป็นนิติบุคคลในเครือของหน่วยงานของรัฐเดียวกัน จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 25% ของทุนทั้งหมด เป็นไม่น้อยกว่า 50% ของทุนทั้งหมด
เนื่องจากปัจจุบัน ปรากฎว่ามีรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐบางแห่ง ไปจัดตั้งหรือไปถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลต่าง ๆ โดยมีเจตนาและวัตถุประสงค์ให้มีภารกิจหลัก เพื่อให้มารองรับการดำเนินการในภารกิจหรือกิจกรรมของรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้จัดตั้ง หรือไปเป็นผู้ถือหุ้นนั้นโดยตรง แล้วเลือกจัดซื้อจัดจ้างกับบริษัทที่ตนจัดตั้งขึ้น หรือถือหุ้นอยู่ โดยใช้วิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อที่จะไม่ต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป หรือวิธีการคัดเลือก
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อป้องกันมิให้รัฐวิสาหกิจหลีกเลี่ยงการปฎิบัติตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยใช้ช่องว่างของกฎหมาย ไปจัดซื้อจัดจ้างบริษัทที่เป็นนิติบุคคลในเครือของหน่วยงานเดียวกัน จึงจำเป็นต้องแก้ไขกฎกระทรวง กำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2561 โดยกำหนดให้เพิ่มอัตราในการถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในรัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลในเครือจากเดิม 25% เป็น 50% เพื่อให้สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้จัดซื้อจัดจ้างกับบริษัทหรือนิติบุคคลในเครือของหน่วยงานเดียวกัน เนื่องจากมีภารกิจเกี่ยวข้องกันโดยตรง และไม่สามารถใช้วิธีอื่นได้
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่องนี้มิได้เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีกระทำการอันเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป คณะรัฐมนตรีจึงสามารถพิจารณาอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้ โดยที่เรื่องนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในด้านการบริหารราชการแผ่นดิน