นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า จากกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้คะแนนเสียงโหวตในรัฐสภาไม่เพียงพอที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี จนทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนออกมาใช้สื่อโซเชียลบูลลี่ ด่าทอ รวมไปถึงการแบนธุรกิจ ส.ว. ซึ่งเข้าข่ายคุกคามครอบครัวของ ส.ว.หลายคน ที่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญนั้น ส่วนตัวมองว่า นายพิธา และพรรคก้าวไกล ควรจะสื่อสารทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้สนับสนุนให้มากกว่านี้ ไม่ควรใช้วิธีในลักษณะข่มขู่คุกคาม เพราะเป็นการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ สร้างความแตกแยกระหว่างประชาชน
พร้อมมองว่า เป็นการเพิ่มอุณหภูมิความขัดแย้งในบ้านเมืองมากขึ้นไปอีก ซึ่งควรที่จะเคารพการตัดสินใจและประชาธิปไตยเสียงข้างมากในรัฐสภา ตามที่พรรคก้าวไกลมีเจตนารมย์มาโดยตลอด
ส่วนกรณีที่นายพิธา ได้ออกแถลงการณ์เปิด 2 สมรภูมิ เพื่อต่อสู้ให้ไปถึงการจัดตั้งรัฐบาล ควบคู่ไปกับการเคลื่อนมวลชนออกมาชุมนุมนั้น นายธนกร ระบุว่า เวลานี้ นายพิธา และพรรคก้าวไกล สมควรอย่างยิ่งที่จะเดินหน้าพูดคุยขอการสนับสนุนจากส.ว. ไม่ใช่ยื่นแก้ไขมาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. แบบนี้ เพราะจะยิ่งทำให้การก้าวขึ้นสู่การเป็นนายกฯ และการจัดตั้งรัฐบาลยากขึ้นไปอีก
"จะไปเอาเสียงมาจากไหนถึง 84 ส.ว. ขนาด 60 ส.ว.ยังหาไม่ได้เลย ทั้งยังปลุกให้มวลชนไปกดดัน บูลลี่ ข่มขู่ คุกคาม ครอบครัว ส.ว.ซึ่งมองว่าจะไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย และทราบมาว่าทาง ส.ว.ก็ได้มีการให้ฝ่ายกฎหมายเตรียมดำเนินคดีกับผู้คุกคามทุกรายแล้ว ท้ายที่สุด หากนายพิธา และพรรคก้าวไกล ยังยึดถือแนวทางการเมืองลักษณะนี้ ประเทศและประชาชนจะมีแต่ความแตกแยก เสียหาย" นายธนกร กล่าว
พร้อมฝากถึงนายพิธา และแกนนำพรรคก้าวไกล ช่วยสร้างความเข้าใจแก่แฟนคลับผู้สนับสนุน ให้เคารพสิทธิของผู้อื่น เคารพกฎหมายด้วย ขอให้นึกถึงประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ใช่การปิดสวิตซ์ ส.ว. แต่ถ้ายังคงใช้วาทะกรรมปลุกระดมมวลชนสร้างความขัดแย้งแบบนี้ สุดท้ายประเทศชาติ อาจกลายเป็นสมรภูมิรบอย่างที่นายพิธาแถลงก็เป็นได้
"ประเทศของเรา ไม่ใช่สมรภูมิรบ จึงอยากให้นายพิธา และพรรคก้าวไกลได้ทบทวนในเรื่องนี้ ผมพูดมาตลอด ถ้าพรรคอันดับ 1 ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็ควรให้อันดับ 2 และ 3 เป็นคนจัดตั้ง ไม่ควรเสียเวลา เพราะคนทั้งประเทศรอรัฐบาลใหม่อยู่ ไม่ใช่พอตั้งไม่ได้แล้วไปปลุกม็อบลงถนน" นายธนกร กล่าวย้ำ