นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรอบเวลาฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลนั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยังมีเวลาถึงวันที่ 26 ก.ค. ก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีรอบใหม่ วันที่ 27 ก.ค. ซึ่งต้องใช้เวลาให้คุ้มที่สุด พร้อมยืนยันว่า พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลทั้ง 8 พรรคยังจับมือกันเหนียวแน่น และยังไม่ถึงคิดกรณีอื่น
ส่วนกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ระบุชัดว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ยกเลิก หรือแก้ไข มาตรา 112 ซึ่งเหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้พรรคก้าวไกลยอมถอยเรื่องนี้ หากต้องการร่วมตั้งรัฐบาลนั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นความเห็นของนายเศรษฐา แต่หากฟังจากทุกพรรคการเมือง รวมถึง สว. ก็สะท้อนมาแบบนี้ เพราะอาจเป็นประเด็นที่ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะโยนภาระไปให้พรรคก้าวไกลพิจารณา และเชื่อว่าจะมีทางออกว่าพรรคก้าวไกลจะพิจารณาอย่างไร ซึ่งตนไม่ขอก้าวล่วง
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า หากพรรคก้าวไกลยอมถอยเรื่อง มาตรา 112 จริง หลายพรรคการเมืองที่เคยออกมาพูดชัดว่าถ้าไม่มีเรื่องนี้ก็พร้อมสนับสนุน ซึ่งจะเป็นทางออกอีกทางหนึ่ง ส่วนจะต้องอาศัยเสียง สว.หรือไม่ คงต้องไปดูถึงความจำเป็นภายหลัง
"เป้าหมายเรา หากได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คือต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ เสียงในรัฐบาลต้องได้ 375 เสียง นี่คือสิ่งที่เพื่อไทยต้องทำ เงื่อนไขอะไรที่เป็นอุปสรรคต้องมาหารือกัน" นพ.ชลน่าน ระบุ
ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการหารือระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเมื่อวานนี้ (20 ก.ค.) ว่า เป็นการประเมินถึงสถานการณ์ ทั้งเรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา และการโหวตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 ในวันที่ 27 ก.ค. ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้มีข้อกังวลต่อประเด็นการแก้ไข มาตรา 112 ซึ่งทั้ง สส. และ สว.ได้แสดงความคิดเห็นออกมา ทั้งผ่านการอภิปรายในสภาฯ และการแสดงความเห็นส่วนตัว ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงฝากเรื่องนี้ให้พรรคก้าวไกลไปหารือกันภายในพรรคก่อน
ส่วนที่ว่า สส. และ สว. ยังคงนำเรื่องการแก้ไข มาตรา 112 มาเป็นประเด็นหลักในการไม่โหวตนายกรัฐมนตรีนั้น นายประเสริฐ ระบุว่า เรื่องนี้ต้องรอความชัดเจนของพรรคก้าวไกลก่อน ซึ่งทุกอย่างน่าจะประเมินสถานการณ์ได้ง่ายขึ้นว่าจะเดินไปในทิศทางใด