นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. กล่าวตำหนิการทำงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีรับคำร้องของประชาชน 17 คำร้อง และยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมาชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมทั้งขอให้สั่งให้รัฐสภาหยุดการเลือกนายกรัฐมนตรีไปจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย ว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีสิทธิยื่นคำร้องดังกล่าว และข้อมูลที่ยื่นดังกล่าวเป็นเพียงข้อมูลด้านเดียว ที่ระบุเหมือนกับคณาจาย์ 115 คนที่ให้ข้อมูลผิดๆ และสร้างความสับสนว่า ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 นั้นใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ทั้งที่ข้อเท็จจริงนั้นไม่ใช่ และการพิจารณาของรัฐสภาเมื่อ 19 ก.ค.นั้น คำถามที่เกิดขึ้นในที่ประชุมชัดเจนว่าเป็นประเด็นการเสนอชื่อแคนดิเดทนายกฯ ที่ไม่ผ่านความเห็นชอบซ้ำได้อีกหรือไม่
"ผู้ตรวจการแผ่นดินให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน และเน้นประเด็นว่าข้อบังคับใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ทำให้สังคมเข้าใจผิด สับสน ทั้งที่รายละเอียดของการประชุมนั้นไม่ใช่ อีกทั้งยังมีคนวิจารณ์ประธานรัฐสภาเสียๆ หายๆ ว่าไม่กล้าตัดสินใจ ทั้งที่ประธานรัฐสภาทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับแล้ว ดังนั้นผมขอให้เอาข้อมูลไปบอกกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดินว่าสิ่งที่ทำนั้น ไม่ครบถ้วน และสิ่งที่ทำนั้น ท่านไม่มีสิทธิยื่นด้วยซ้ำ" นายเสรี กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินทำไปแล้ว อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา ตนไม่ก้าวล่วง แต่เป็นห่วงการทำงานหลังจากนี้ว่าจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ คุ้มค่ากับงบประมาณที่จัดสรรให้แต่ละปีหรือไม่ การทำงานต้องไม่ทำตามกระแส หรือมีคนยื่น 17 เรื่องเป็นกระแสกดดันให้ต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
"ผมเข้าใจว่าอาจกกลัวทัวร์ลง แต่การทำงานต้องมีมาตรฐาน เพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย และยึดมั่นรัฐธรรมนูญที่แบ่งอำนาจหน้าที่ไว้ เป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติทำหน้าที่ในสภา ใช้ดุลยพินิจของสมาชิกปัจจุบันที่ทำงานร่วมกัน 750 คน การทำหน้าที่ในรัฐสภาเป็นอำนาจสูงสุดของประเทศ เป็นอำนาจอธิปไตยของชาติ ต้องมีดุลถ่วงอำนาจซึ่งกันและกัน ดังนั้นสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 230 และ มาตรา 231 กำหนดชัดเจนว่าต้องแก้ปัญหาใน 2-3 เรื่องเท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจตรวจสอบการใช้อำนาจสูงสุดของประเทศ คือ มติของรัฐสภา ไม่เช่นนั้นการใช้อำนาจอาจเกิดปัญหากับชาติได้ การตัดสินเรื่องใด ผู้ตรวจการแผ่นดินต้องกลั่นกรอง ตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรู้ ความสามารถ ว่าเรื่องใดขัดกับรัฐธรรมนูญ หรือขัดกับหลักแบ่งแยกอำนาจหรือไม่" นายเสรี กล่าว
ด้านนายทิฆัมพร ยะลา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ชี้แจงว่าการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาบนข้อกฎหมาย ระเบียบ และปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าคำร้องที่ยื่นนั้น มีองค์ประกอบครบถ้วน ส่วนเรื่องที่ขอให้ชะลอเลือกนายกฯ นั้น มองว่าหากหากศาลัฐธรรมนูญเห็นว่าข้อปฏิบติตามมติรัฐสภา หากขัดหรือแย้ง อาจมีผลเสียงกับการเลือกนายกฯได้ จึงยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญด้วย ส่วนการพิจารณาแล้วแต่ศาลรัฐธรรมนูญ