นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวว่า การเข้าร่วมรัฐบาลขึ้นอยู่กับการทาบทามจากพรรคเพื่อไทย ไม่ได้อยู่ที่พรรคชาติไทยพัฒนาเพียงพรรคเดียว ที่ผ่านมามีการพูดคุยกันในระดับหนึ่ง และก่อนที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไปจะมีการพูดคุยกันอีก ส่วนในรายละเอียดจะมีการพบปะพูดคุยกันเมื่อไหร่นั้น รอให้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ส่งเทียบเชิญมา
สำหรับเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาลนั้นเป็นสิ่งที่เคยพูดคุยกันไว้เมื่อวันที่ 23 ก.ค. โดยยังยึดตามนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่แตะต้องมาตรา 112 เรื่องทัศนคติในการทำงานจะต้องมีพรรคที่ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน นโยบายเดียวกัน ทัศนคติต่อในหลายเรื่อง เช่น สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องไปในทิศทางเดียวกัน หากตรงกันก็จะต้องมาพูดคุยว่าจะไปในทิศทางใด ซึ่งการแถลงข่าวของพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยเมื่อวานเป็นสัญญาณที่ดี เพราะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ส่วนความต้องการที่จะทำงานในกระทรวงใดนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาได้มา 10 เสียง เราจะใช้เหตุผลและหลักการในการพูดคุยกัน คุยกันด้วยเหตุผล เราคงไม่ไปเรียกร้อง เพราะต้องการให้รัฐบาลมีความเข้มแข็ง เพราะจากนี้ไป ทั้งเรื่องสภาพเศรษฐกิจและในอีกหลายมิติของประเทศไทยต้องการการฟื้นฟู
ดังนั้นการทำงานของรัฐบาลที่มีความเข้มแข็งเป็นหัวใจสำคัญ ส่วนเรื่องการต่อรองกระทรวงค่อยไปว่ากันทีหลัง เมื่อจัดตั้งรัฐบาลเสร็จแล้วจึงจะคิดออกมาเป็นสัดส่วนแล้วเป็นเท่าไหร่ ดังนั้นจะตอบตอนนี้ไม่ได้
กรณีคุณสมบัติของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้นคงต้องให้เกียรติทางพรรคเพื่อไทยในการที่จะเสนอบุคคลเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีที่ได้พิจารณาคุณสมบัติมาเพียบพร้อมแล้ว
ส่วนการแก้ไขธรรมนูญที่ให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) นั้นเป็นแนวคิดที่พรรคชาติไทยพัฒนาได้พูดมาตั้งแต่นโยบายหาเสียงเลือกตั้งแล้ว เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้ฉบับปี 40 ซึ่งเป็นต้นแบบให้มีการตั้ง สสร. ดังนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยแถลงการณ์ให้มีสสร.ขึ้นมา จึงถือว่ามีแนวทางชัดเจนและตรงกันกับพรรคชาติไทยพัฒนาที่เคยทำสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคชาติไทยพัฒนาเห็นว่าไม่ควรแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 เพราะถือว่าเป็นหมวดที่สำคัญอย่างยิ่ง เราจึงมีแนวคิดว่าไม่ควรมีการไปแตะต้อง