นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์คลิปเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก เพื่อชี้แจงในฐานะเคยเป็นผู้บริหารบมจ.แสนสิริ (SIRI) และ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
นายเศรษฐา ได้ชี้แจงในประเด็นที่นายชูวิทย์ กลมวิศิษฐ์ อดีตนักการเมือง ออกมาเปิดข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อที่ดินของ บมจ.แสนสิริ (SIRI) และเรื่องนอมินี โดยระบุว่า ในขณะที่ตนเป็นผู้บริหาร ยืนยันว่า การซื้อขายที่ดินดำเนินการด้วยความถูกต้องตามกฎหมายในทุกขั้นตอน ไม่เคยมีวิธีการนอกระบบกฎหมาย เพื่อเบียดบังผลประโยชน์ของรัฐ หรือแสวงหาประโยชน์เป็นการส่วนตัว และขอปฏิเสธข้อกล่าวหาในทุกกรณีที่นายชูวิทย์นำมากล่าวอ้าง ซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ บิดเบือนให้เกิดความเสียหาย
บมจ.แสนสิริ ผ่านพ้นวิกฤตมาหลากหลายรูปแบบ ทีมงานทุกคนบริหารงานอย่างโปร่งใสในรูปแบบของคณะกรรมการ ตามข้อบังคับของบริษัทและตลาดหลักทรัพย์ เราทำงานตามหลักธรรมาภิบาล แสนสิริเติบโตในวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างมั่นคงเข้มแข็ง ไม่เคยถูกตั้งข้อกล่าวหา หรือแม้กระทั่งตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ในการทำงานและการประกอบการของบริษัทแต่อย่างใด
นายเศรษฐา ยืนยันว่าในการซื้อขายที่ดินของบมจ.แสนสิริ ไม่มีการสมคบคิดใดๆ และไม่เคยมีเงินทอนใดๆกลับมาที่ตน หรือพนักงานแสนสิริคนไหนทั้งสิ้น แสนสิริเป็นบริษัทมหาชน ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด 100% และไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมาย และรวมถึงไม่ผิดจริยธรรมใดๆ
"คุณชูวิทย์ต้องใช้ความจริงที่ไม่บิดเบือน คุณโกรธเคืองที่บริษัทไม่ซื้อที่ดินคุณที่ซอย สุขุมวิท 24 เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว เราตกลงกันจากราคา 2,000 ล้านเหลือ 1,800 ล้านแต่ที่ดินคุณมีเงื่อนไขติดพันธ์กับบริษัทไรมอนแลนด์ แสนสิริไม่สามารถซื้อที่ดินที่มีนิติกรรมซ้อนได้ คุณไม่พอใจ แต่เพราะเงื่อนไขของที่ดินคุณเอง ....คุณติดต่อผู้ใหญ่มากมายให้มาบอกผมว่าคุณจะแฉผม และทำทุกอย่างเพื่อให้ผมไม่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าจะให้ไม่แฉ ให้ผมตกลงซื้อที่ดินราคา 2,000 ล้านทันทีแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่งั้นคุณชูวิทย์จะเดินหน้า Discredit และด้อยค่าผมต่อไป"
นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังบิดเบือนไปถึงเรื่อง Digital Wallet ทำให้ประชาชนเข้าใจว่านโยบายนี้จะเป็นการฟอกเงินผ่านทาง coin
"ขอให้คุณชูวิทย์ อย่าได้เอาเรื่องนโยบาย Digital Wallet ของพรรคเพื่อไทยมาโจมตีอย่างไม่มีหลักการ โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี มีผลประโยชน์ต่อประเทศอย่างมาก สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้เป็นจำนวนมากกว่า 50 ล้านคน และเป็นนโยบายสำคัญที่สุดอันหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทันที ทำให้ประเทศนั้นสามารถพลิกฟื้นกลับมาอีกครั้ง และงบประมาณทั้งหมดจะถูกส่งตรงไปยังประชาชนทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป"
นายเศรษฐา ระบุว่า การที่ตนพูดความจริงในครั้งนี้ รู้ว่านายชูวิทย์ต้องไม่พอใจและอาจจะไปฟ้องศาล แต่ตนก็พร้อมที่จะนำพยานหลักฐานไปสู้คดีในศาลต่อไป
พร้อมย้ำว่า ทุกคนเตือนว่าอย่าลงการเมือง มันเปลืองตัว แต่วันนี้ตนตัดสินใจเอง เพราะอยากทำให้ประเทศชาติ และเศรษฐกิจดีขึ้น เพิ่มรายได้ให้ประเทศ ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากวันแรกที่ตัดสินใจจะทำ จนถึงวันนี้ มั่นใจที่จะทำเพื่อประเทศชาติเหมือนเดิม
"ศัตรูของผม คือความยากจน และความไม่เสมอภาคของประชาชน เป้าหมายของผม คือ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน"
นายเศรษฐา กล่าวถึงความพร้อมในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 ส.ค.ว่า หากพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อตนให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา ตนก็มีความพร้อม และคิดว่าการกระทำและการชี้แจงของตนเป็นที่ประจักษ์ว่ามีความตั้งใจจริง มีความปรารถนาดีกับประเทศชาติ หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจาก สว.
ปัจจุบันทีมเจรจาได้พูดคุยหารือกับหลายพรรคการเมือง ซึ่งมีความคืบหน้าไปในทิศทางที่ดี มีพรรคการเมืองหลายพรรคตอบรับมาแล้วว่าจะโหวตให้ ซึ่งวันนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ก็โทรมาบอก 71 เสียงจะยกมือโหวตให้