สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดงานราชดำเนินเสวนา "การบ้าน ครม.เศรษฐา1 แก้วิกฤตประเทศ" โดยมี นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสสถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI), นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย, นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย We Fair ร่วมวงเสวนา
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสสถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ฝ่ายอนุรักษ์นิยมหันมามาสนับสนุนเสรีนิยม และรัฐสวัสดิการมากขึ้น ในระยะยาวจะเห็นนโยบายใหม่ๆ มากขึ้น ส่วนรัฐบาล "เศรษฐา1" เมื่อรวมกับพรรค 2 ลุง ก็จะรวมฝ่ายอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม และรัฐสวัสดิการเข้าด้วยกัน ซึ่งคาดหวังอยากเห็นนโยบายที่ไม่เอื้อต่อนายทุน ,นโยบายที่ลดความเหลี่ยมล้ำ ให้โอกาส ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง นโยบายที่ไม่แจกเงินโดยไร้ความรับผิดชอบ ความจำเป็น ต่อการแจก และเป็นภาระทางการคลัง รวมถึงนโยบายพัฒนาทุนนิยมแบบโลกยุคใหม่ รักษาขนมธรรมเนียมแบบเหมาะสม ไม่อยากให้เกรงกลัวต่างๆชาติมากเกินไป ดังนั้นจึงจะเป็นนโยบายที่ร่วมกันได้ทุกฝ่าย
ทั้งนี้ ความท้าทายของเศรษฐกิจในยุคหลังโควิด ที่เป็นเรื่องท้าทายของรัฐบาลเศรษฐา 1 ในระยะยาวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ภาครัฐต้องจัดคนเพื่อเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต้องคิดใหม่ทำใหม่ เช่น ภาคการท่องเที่ยว ถ้าต้องการจำนวนคนเข้ามากขึ้น ก็ต้องอุดหนุนทรัพยากรที่มีอยู่, ด้านอาหาร ความต้องการอาจจะมากขึ้น แต่คุณภาพอาหารไม่ได้ดีขึ้น ก็ต้องปรับปรุง
"ส่วนความท้าทายระยะสั้น รัฐบาลจะต้องต่อสู้กันระหว่างแรงกดดันที่ประชาชน อยากให้รัฐบาลทำตามที่หาเสียงไว้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ก็ต้องคัดกรองว่านโยบายไหนบ้างยังจำเป็นที่ต้องทำอยู่ นโยบายไหนเหมาะสมกับช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมฝากเสนอรัฐบาลในเรื่องเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้ แต่ก็ต้องดูความเหมาะสมของสถานการณ์ แต่ก็ต้องดูว่าต้องกระตุ้นเท่าไร ถ้ากระตุ้นเยอะไป อาจจะทำให้เกิดเงินเฟ้อได้ หรือเอามาทำรัฐสวัสดิการอย่างอื่นแทน" นักวิชาการ TDRI กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ต้องทำให้ประชาชนลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มเรื่องของความพอเพียง หรือต้องมีเงินออม ซึ่งควรจะเป็นเรื่องแรกๆ ที่รัฐบาลต้องทำ ส่วนเรื่องกระจายอำนาจ เพื่อให้มีการดูแลพัฒนาในพื้นที่มากขึ้น และการต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้ว เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเข้าถึงคนหมู่มาก และต้องทำให้คนยืนได้ด้วยตัวเอง
ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย มองว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นตัวเลือกที่ไม่มีทางเลือก เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และไม่ต้องเรียนรู้งานมาก เพราะมาจากภาคธุรกิจ แต่สภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในสภาวะที่บอบช้ำต่อเนื่องมาหลายปีจากการรัฐประหาร และตลอด 9 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลเน้นไปที่ความมั่นคงมากกว่าเศรษฐกิจ รวมถึงยังต้องเจอวิกฤตโลก ปัญหาสภาพคล่อง และหนี้เปราะบาง ที่ล้วนหดตัวอย่างหนัก
ดังนั้น รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยมีมาตรการ quick win คือ การแก้ปัญหาระยะสั้นที่ต้องทำให้เสร็จภายใน 3 เดือน แม้บางนโยบายอาจไม่ตอบโจทย์ความหวังของประชาชน แต่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ ได้แก่ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการอัดฉีดเงินต่างๆ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง, แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ธุรกิจ, โปรโมทภาคท่องเที่ยว, แก้ปัญหาส่งออกหดตัว, ทบทวนแนวทางการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท หากจะปรับจริงควรเป็นเดือนพฤษภาคมปีหน้า และควรทยอยปรับ โดยไม่จำเป็นต้องเฉลี่ยเท่ากัน เพื่อให้ภาคเอกชนมีเวลาปรับตัว หรือปรับให้น้อยลงให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ
"การกระตุ้นเศรษฐกิจกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าจะหาเงินมาจากไหน เพื่อไม่ให้กระทบกับการเงินการคลัง และหนี้ของประเทศในอนาคต รวมถึงจะแจกเมื่อใด แจกอย่างไร เนื่องจากประชาชนคาดหวังว่ารัฐบาลจะแจกทุกปี ซึ่งโจทย์นี้ถือเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมา โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างชาติ" นายธนิต กล่าว
นอกจากนี้ อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับแรงงาน ยกระดับทักษะแรงงาน โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจ แรงงานที่มีอายุ เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีทันสมัยแบบก้าวกระโดด และควรมีสวัสดิการที่สอดคล้องกับค่าครองชีพ
นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องแก้วิกฤติที่จะเกิดขึ้น 3 โจทย์คือ วิกฤติที่มาก่อนเวลา วิกฤตที่ตามมาจากอดีต และวิกฤตที่รัฐบาลผิดพลาดหรือสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งรัฐบาลต้องระวังให้ดี โดยในส่วนการศึกษาและแรงงาน เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน การศึกษาจะต้องปรับให้ตรงกับแรงงานที่ต้องการ และต้องได้รับ Upskill Reskill ให้เร็วที่สุด นโยบายการศึกษา ควรต้องทำทันที ทำใหญ่ ทำเพื่อให้เกิดแรงงานในไทย ส่วนอีก 4 ปีข้างหน้า ต้องระวังการศึกษา และความเหลื่อมล้ำที่จะเกิดขึ้นระยะยาวหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น ความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้รับการศึกษาที่ดี ก็จะเกิดการความเหลื่อมล้ำรอบใหม่ ถ้าไม่แก้วันนี้จะเป็นปัญหาในอนาคต การแก้ในวันนี้ได้ก็จะปลดล็อกปัญหาในอดีตและวิกฤตในอนาคต ถ้าทำได้จะทำให้ภาคการบริหารรัฐบาลจะดีมาก
ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ต้องการใช้รัฐสวัสดิการมาอุดหนุน เพื่อที่จะพัฒนาตัวเอง ดังนั้นถ้าหากจัดสวัสดิการด้านการศึกษาดี สิ่งที่ได้จะไม่ได้สูญเปล่า เช่น การฝึกงานแล้วมีค่าจ้าง เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
"กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะต้องเป็นกระทรวงต้นๆ ที่หลุดออกจากกรอบก่อนที่ได้ตอบ แม้จะมีคนตั้งความหวังกับกระทรวงเหล่านี้น้อย แต่ถ้าทำสำเร็จจะดีที่สุด ที่สำคัญคือต้องเปลี่ยนโครงสร้างทางการศึกษา และรัฐมนตรีที่เข้ามาต้องทุบกำแพง เพื่อพัฒนาการศึกษาให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้น จะได้แค่เสียงปรบมือ แต่จะไม่ได้คะแนนในการเลือกตั้งครั้งถัดไป" นายเกียรติอนันต์ ระบุ
ด้านนายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย We Fair ตัวแทนภาคประชาชน กล่าวว่า จากการรับฟังข้อเสนอจาก 14 พรรคการเมือง เห็นว่า รัฐบาลใหม่ควรส่งเสริมรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำในประเทศ โดยอาจจะนำเงิน 5 แสนกว่าล้านบาท ที่จะใช้กับนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไปใช้กับนโยบายรัฐสวัสดิการอื่น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากประเทศไทยยังมีผู้มีรายได้น้อยอยู่จำนวนมาก ตกอยู่ในสถานการณ์ส่งต่อความจน รวมถึงสังคมยังมีความเหลื่อมล้ำ สถานการณ์เปราะบาง ผู้สูงอายุเข้าไม่ถึงรัฐสวัสดิการ คนตกงาน เด็กหลุดจากระบบการศึกษา
พร้อมกันนี้ ต้องการให้รัฐบาลเน้นเรื่องปฏิรูปภาษี ปฏิรูปกองทัพ เพื่อให้มีเงินเพิ่มไปเติมงบสวัสดิการ เพื่อให้กำแพงของคนรวยที่สร้างขึ้นมีความสมดุลกับผู้มีรายได้น้อย เชื่อว่าจะทำให้เกิดความเท่าเทียม และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้นได้
"ต้องมองไปข้างหน้า ปรับเปลี่ยน หรือจัดลำดับความสำคัญนโยบายเร่งด่วน และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และไม่ควรลดสวัสดิการที่ให้ประชาชน แต่ควรปรับให้เพิ่มขึ้นมากกว่า" นายนิติรัตน์ กล่าว