นักวิชาการแนะรัฐปูทางหนุนภาคเกษตรไทยรับโอกาสจากวิกฤตอาหารโลก

ข่าวการเมือง Sunday September 10, 2023 17:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สภาพภูมิอากาศแปรปรวนเปลี่ยนแปลงรุนแรงจากภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น ฐานทรัพยากรธรรมชาติลดลง พื้นที่เกษตรกรรมลดลง โลกาภิวัตน์ในศตวรรษที่ 21 ตลอดจนโครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไป ล้วนเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของภาคเกษตรกรรมไทยในอนาคต การกลับมาเติบโตอย่างยั่งยืนของภาคเกษตรกรรมไทยจึงต้องอาศัยการฟื้นตัวที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะแวดล้อมใหม่ให้ได้ ต้องอาศัยนโยบายระยะยาวมากกว่ามาตรการระยะสั้นเพียงแค่บรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า การปรับตัวสูงขึ้นของราคาอาหารจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า เป็นผลโดยตรงจากปรากฎการณ์เอลนีโญ การห้ามส่งออกสินค้าเกษตรของหลายประเทศ สงครามรัสเซียยูเครนปิดกั้นแหล่งผลิตและการส่งออกธัญพืชสำคัญจากทะเลดำ ผลของการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันล่าสุด มีการใช้พื้นที่เกษตรกรรมบางส่วนปลูกพืชเพื่อพลังงาน มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านอาหาร สัญญาณของระบบ การผลิตอาหารไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการอาหารเพื่อเลี้ยงประชากรโลกเริ่มปรากฏอย่างชัดเจนในปี 2549 และพุ่งสูงขึ้นในปี 2550-2551 และในปี 2553-2554 ราคาอาหารและธัญพืชหลัก (ข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพด) ปรับตัวสูงในช่วงเวลาดังกล่าว และกลับมารุนแรงเพิ่มขึ้นอีกในช่วงสงครามรัสเซียยูเครนปี 2565 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันและอาจมีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้น

ยุทธศาสตร์ของไทยในการเป็นครัวของโลกจำเป็นต้องมีการดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อยกระดับภาคเกษตรกรรมให้มีความเข้มแข็ง เดิมนั้นภาคเกษตรกรรมของไทยมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบอยู่แล้ว แต่ขาดการดูแลเอาใจใส่ที่ดีประกอบกับไม่ได้มีการลงทุนภาคเกษตรกรรมไทยอย่างมีเป้าหมาย ไม่มีการลงทุนระบบการบริหารจัดการน้ำที่ดีพอจึงทำให้ภาคเกษตรกรรมไทยอ่อนแอลง ความต้องการอาหารในการเลี้ยงประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นได้สร้างโอกาสให้กับภาคเกษตรกรรมของไทยโดยเฉพาะการผลิตข้าว

นายอนุสรณ์ กล่าวถึงมาตรการพักหนี้ 3 ปีของรัฐบาลว่า มาตรการพักหนี้ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นเพียงบรรเทาปัญหากับดักวิกฤตหนี้สินเกษตรกร เป็นมาตรการระยะสั้นที่บรรเทาความเดือนร้อนทางเศรษฐกิจ ช่วยแบ่งเบาปัญหาทางการเงินจากการมีหนี้สินล้นพ้นตัวของเกษตรกรเท่านั้น ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า เป็นเกษตรกรกลุ่มไหนและขนาดของหนี้สินมีเพดานเท่าไหร่ เมื่อ ธ.ก.ส.ดำเนินตามนโยบายพักหนี้ 3 ปีแล้ว รัฐบาลก็ต้องหาเงินงบประมาณมาชดเชยรายได้ของธนาคารเฉพาะกิจด้วย ซึ่งหลายรัฐบาลที่ผ่านมาก็ติดค้างภาระหนี้สะสมที่ต้องชดเชยรายได้ให้กับธนาคารเฉพาะกิจของรัฐทั้งระบบและภาระผูกพันต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท

ขณะนี้รัฐบาลสามารถใช้มาตรการกึ่งการคลัง (Quasi-Fiscal Policy) ตามกรอบวินัยการคลังแห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 28 ได้อีกประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท หากรัฐบาลจะใช้ช่องทางนี้ในการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ท 10,000 บาทด้วยการกู้ยืมเงินจากธนาคารออมสิน และต้องการแจกเงินภายในเดือน ก.พ.67 ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องการพักหนี้ให้เกษตรกรอีก 3 ปี พักหนี้ให้เอสเอ็มอีที่ต้องใช้เงินอีกหลายหมื่นล้านบาท รัฐบาลต้องไปขยายเพดานการก่อภาระชดเชยและภาระผูกพันคงค้างตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังเพิ่มขึ้นอีก รัฐบาลมีภาระหนี้ผูกพันจากการชดเชยโครงการต่างๆ ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังสูงถึง 1.03 ล้านล้านบาท และเป็นหนี้ที่ไม่ได้นับรวมอยู่ในหนี้สาธารณะสูงถึง 8.3 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ภาระหนี้ที่รอการชดเชยจากรัฐบาล 6 แสนล้านบาท และภาระผูกพันส่วนที่ยังไม่รับรู้อีก 2.32 แสนล้านบาท

ขณะเดียวกัน มาตรการพักหนี้เอสเอ็มอีผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดจริยธรรมวิบัติ (Moral Hazard) ในระบบการเงินของประเทศ หรือ ไปอุ้มกิจการผีดิบ (Zombies) ที่ไม่สามารถแข่งขันได้แล้ว ประกอบกิจการไม่ได้แล้ว หรือไม่เหมาะสมกับเศรษฐกิจยุคใหม่แล้ว อาศัยเงินสาธารณะให้สามารถดำเนินการกิจการไปได้แบบทุลักทุเลบนต้นทุนของเงินภาษีประชาชนส่วนใหญ่ก็ต้องพิจารณาว่าเป็นนโยบายสาธารณะที่เหมาะสมหรือไม่

อย่างไรก็ตาม มาตรการพักหนี้อาจมีความเหมาะสมสำหรับกลุ่มเกษตรกรและกิจการบางส่วนที่ได้รับผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด-19 เมื่อปี 2563-2564 และยังอยู่ในวังวนของการเป็นหนี้ คือ ก่อหนี้ใหม่มาชำระหนี้เก่าด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยที่กลุ่มเกษตรกรและกิจการเหล่านี้มีแนวโน้มฟื้นฟูได้ หรือเป็นกิจการที่มีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่องหรือมีหนี้สินสูง หากได้รับการสนับสนุนทางการเงินผ่านการพักหนี้ ปลอดการจ่ายเงินต้นหรือดอกเบี้ยระยะหนึ่ง ก็จะกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้อีกครั้งหนึ่ง

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า มาตรการกึ่งการคลังที่ดำเนินการผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ไม่ว่าจะเป็น ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธนาคารเอสเอ็มอี ธนาคารกรุงไทย ในรูปแบบต่างๆ เช่น พักหนี้ อุดหนุนราคา เพิ่มทุน ค้ำประกันหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ หรือชดเชยรายได้ อาจกลายเป็นความเสี่ยงทางการคลังได้และอาจเป็นภาระหนี้สาธารณะในอนาคต เราจึงต้องติดตามและเอาใจใส่เช่นเดียวกับการก่อหนี้ที่ปรากฎในงบประมาณด้วย เพราะภาระผูกพันและภาระหนี้เหล่านี้จะไม่แสดงในงบประมาณ ฉะนั้นเราจึงต้องประเมินความเสี่ยงทางการคลังของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐผ่านสามประเด็นดังนี้ คือ ประเด็นแรก หากใช้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ พักหนี้ให้เกษตรกร และ เอสเอ็มอี ตลอดจนสนับสนุนนโยบายแจกเงินดิจิทัล ต้องเพิ่มทุนหรือจัดสรรเงินอุดหนุนให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือไม่ ประเด็นที่สอง ความเสี่ยงและผลบวกต่อเศรษฐกิจ อันส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้จากการดำเนินการตามนโยบายเป็นอย่างไร และประเด็นที่สาม หนี้คงค้างของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งที่รัฐบาลค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน มีอยู่เท่าไหร่กันแน่

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า แนวทางที่ยั่งยืนกว่า และส่งผลในระยะปานกลางและระยะยาว ไม่ก่อให้เกิดการเสพติดนโยบายและมาตรการประชานิยมเกินขนาดและนำมาสู่ปัญหาฐานะทางการคลังในอนาคตก็คือ การปรับโครงสร้างภาคการผลิต การบริหารจัดการทางด้านอุปทาน ในส่วนของภาคเกษตรกรรมนั้นต้องแปรรูปพืชผลเกษตรเพิ่มมูลค่าด้วยการลงทุนทางด้านวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์จากผลิตผลการเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น เพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพิ่มรายได้ผ่านช่องทางต่างๆ ลดต้นทุนโดยเฉพาะค่าปุ๋ย ค่าอาหารสัตว์ ปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ดินได้มากขึ้น การใช้มาตรการและนโยบายเหล่านี้จะแก้ปัญหายั่งยืนกว่า

ส่วนธุรกิจเอสเอ็มอีต้องมุ่งที่การเพิ่มผลิตภาพทุน และผลิตภาพแรงงาน ผ่านการลงทุนทางด้านการพัฒนาทักษะ และ เทคโนโลยี มุ่งสร้างเครื่องหมายการค้า และเอาการตลาดนำการผลิต ขยายตลาดใหม่ ลดต้นทุนด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินกิจการ ภาครัฐเองก็ต้องลดต้นทุนให้กับเกษตรกรและกิจการเอสเอ็มอี ด้วยการมีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น ระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการทั้งหลาย ทั้งระบบประปา ระบบบริหารจัดการน้ำและการชลประทาน ระบบไฟฟ้าและพลังงาน ระบบโทรคมนาคม ระบบคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ ระบบการบังคับใช้กฎหมายและระบบใบอนุญาตต่างๆ การติดสินบนทุจริตคอร์รัปชันต้องลดลงอย่างชัดเจน เป็นต้น

นอกจากนี้ ภาครัฐควรส่งเสริมให้มีการเปิดเสรีสินค้าเกษตรอย่างมียุทธศาสตร์ ต้องมีแนวทางที่ปกป้องผู้ผลิตภายใน และการอุดหนุนราคาโดยไม่ผิดหลักการขององค์การการค้าโลก เพิ่มการแข่งขัน ลดอำนาจผูกขาดในโครงสร้างตลาดและโครงสร้างการผลิตทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีอำนาจต่อรองมากขึ้นในโครงสร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยมของไทย

การที่รัฐบาลลดบทบาทของมาตรการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็น มาตรการจำนำหรือมาตรการประกันราคาเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และการที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี บอกจะไม่ใช้มาตรการแทรกแซงกลไกตลาดหรือฝืนกลไกตลาดถือได้ว่ามาถูกทาง เพราะมีหลักฐานในเชิงประจักษ์มากมายว่า ถึงที่สุดมาตรการแทรกแซงราคาหรือแทรกแซงกลไกตลาด เราไม่สามารถเอาชนะพลังของตลาดได้ และจะเกิดต้นทุนมหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจและเป็นภาระภาษีจำนวนมาก แม้นในผลิตภัณฑ์ที่ไทยผลิตและส่งออกมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลกอย่างข้าว เราก็ไม่สามารถกำหนดราคาในตลาดโลกได้ เวลานี้ราคาข้าวโลกพุ่งสูงขึ้นจากการงดส่งออกข้าวของหลายประเทศ และการคาดการณ์ว่า ผลกระทบของเอลนีโญต่อภาคเกษตรกรรมทั่วโลกจะรุนแรง ทำให้ราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะราคาข้าวในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นจึงเป็นโอกาสของภาคส่งออกข้าวและสินค้าเกษตรของไทย รัฐบาลต้องไปพิจารณาด้วยว่าจะทำอย่างไรให้ผลประโยชน์จากภาคส่งออกกระจายมายังผู้ผลิตอย่างชาวนาให้มากขึ้น พร้อมกับการดูแลไม่ให้ คนจนหรือชนชั้นกลาง ต้องเผชิญกับราคาข้าวและอาหารที่แพงขึ้น

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า มาตรการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็น จำนำ หรือนโยบายประกันราคาก็ตามคงจะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญในรัฐบาลชุดนี้ หากรัฐบาลจำเป็นต้องนำกลับมาใช้อีกในอนาคตก็ควรนำมาใช้ระยะหนึ่งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนาหรือเกษตรกรเมื่อราคาพืชผลตกต่ำและผันผวนเท่านั้น การแทรกแซงราคาที่ฝืนกลไกตลาดไม่สามารถทำได้ในระยะเวลานานๆ เพราะจะส่งผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ ระบบตลาด ระบบการผลิตและฐานะทางการคลังของรัฐบาล และไม่สามารถสร้างรายได้หรือทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาหรือเกษตรกรให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนได้ เมื่อพักหนี้บรรเทาปัญหากับดักวิกฤตหนี้สินแล้วก็ต้องมุ่งไปที่การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มอำนาจของเกษตรกรในโครงสร้างการผลิตและโครงสร้างการตลาด

ทั้งนี้ ตนมีข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ดังต่อไปนี้

1.ต้องมีการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร เริ่มต้นตั้งแต่ปฏิรูประบบข้อมูลที่ดินเพื่อการเกษตร กำหนดเพดานการถือครองที่ดินอย่างเหมาะสม กำหนดเขตการใช้ที่ดินและแผนการใช้ที่ดิน จัดตั้งกองทุนที่ดินเพื่อเกษตรกร รวมทั้งการพลักดันให้มีการเก็บภาษีที่ดินเพื่อกระตุ้นให้นำที่ดินรกร้างว่างเปล่ามาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการผลิต การกระจุกตัวของการถือครองที่ดินในสังคมไทยถือว่าเป็นปัญหาที่อยู่ในระดับรุนแรงมากๆ เนื่องจากกลุ่มที่ถือครองที่ดินสูงสุด 20% แรกถือครองที่ดินมากกว่ากลุ่มที่ถือครองที่ดินต่ำสุด 20% ล่างสุดมากกว่า 330 เท่า นอกจากนี้กลุ่มที่ถือครองที่ดินสูงสุด 20% แรกนี้ยังถือครองที่ดินคิดเป็น 80% กว่าๆ และคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศนี้ 10% แรกถือครองที่ดินกว่า 90% ของทั้งประเทศ

นอกจากนี้จากผลการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินยังพบว่า มีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคหรือการกระจายการถือครองที่ดินสูงถึง 0.89 การที่ค่า Gini Coefficient มีค่าสูงเกือบ 0.9 สะท้อนถึงความไม่ธรรมและความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่สุด ค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini Coefficient) เป็นอัตราส่วนซึ่งมีค่าระหว่าง 0 และ 1 สัมประสิทธิ์จีนีที่ต่ำ แสดงความเท่าเทียมกันในการกระจายรายได้ ความมั่งคั่งและทรัพย์สิน หากเข้าใกล้เลข 1 แสดงว่า มีความเหลื่อมล้ำอย่างสมบูรณ์ เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองหรือถือครองที่ดินขนาดเล็กมาก ทำให้การจัดการที่ดินเพื่อสร้างผลผลิตไม่มีประสิทธิภาพและไม่เกิดการประหยัดต่อขนาด เกษตรกรรายย่อยถือครองที่ดินไม่เกิน 5 ไร่ และขนาดของที่ดินถือครองโดยลูกหลานก็เล็กลงเรื่อยๆ จากการแบ่งซอยที่ดินให้ลูกหลาน เมื่อลูกหลานเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ก็ขายที่ดินให้นายทุนไป ทำให้ชาวนาหรือเกษตรกรส่วนใหญ่ขณะนี้ไม่มีที่ดินของตัวเอง

2.ไทยต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนต่อไตรลักษณะของภาคเกษตรกรรมของไทย ประกอบด้วย เกษตรดั้งเดิม เกษตรอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เกษตรอินทรีย์ทางเลือก ขณะที่โลกเผชิญความท้าทายทางด้านความมั่นคงอาหารและพลังงาน

3.ใช้เทคโนโลยีการบริหารจัดการความรู้เพื่อเพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปสินค้าเกษตร

4.เพิ่มรายได้เกษตรกรด้วยการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนการผลิต ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มสวัสดิการให้ชาวนาและเกษตรกร

5.ทยอยลดระดับการแทรกแซงราคาลง (แต่ต้องไม่ยกเลิกทันที) โดยนำระบบประกันภัยพืชผลและตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้ามาแทนที่ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางของตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตรของภูมิภาค

6.พัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตรและมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร

7.จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีภายใต้ WTO, FTA, AEC นอกจากนี้เรายังต้องเตรียมตัวรับมือกับข้อตกลงการเปิดเสรีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงว่าด้วยการใช้อัตราภาษีพิเศษที่เท่ากันสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน (CEPT-ทำข้อตกลงตั้งแต่ปี 2536) และข้อตกลง ATIGA ต่อข้าวไทย เช่น การปรับลดภาษี ไทยลดภาษีศุลกากรในสินค้าข้าวให้เหลือ 0% ตั้งแต่ปี 2553 ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนอื่นๆ จัดข้าวอยู่ในบัญชีสินค้าที่มีการอ่อนไหวสูง (Highly Sensitive List) จึงค่อยทยอยลดภาษี ประเด็นเรื่องกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า ประเด็นเรื่องมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชที่เราทำข้อตกลงเอาไว้เรื่องมีผลต่ออุตสาหกรรมเกษตรกรรมและการผลิตข้าวในไทย เราจึงต้องมีมาตรการรับมือเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเกษตรและประเทศโดยรวม

8.ส่งเสริมการขยายฐานในรูป Offshore Farming เกษตรพันธะสัญญาโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV

9.การปฏิรูปภาคเกษตรกรรมและเดินหน้าสู่ยุทธศาสตร์ ครัวของโลก รัฐควรลดบทบาทแทรกแซงกลไกตลาดสินค้าเกษตรลง ลดการบิดเบือนกลไกราคา

10.จัดให้มีตลาดสินค้าเกษตรให้มากหลากหลายและพัฒนาไทยสู่การเป็นครัวของโลก และทำให้ไทยเป็นผู้ผลิตอาหารปลอดภัยของโลก

11.ทำให้ชาวนาหรือเกษตรกรทั้งหลายเข้าถึงแหล่งทุนได้ดีขึ้นปล่อยสินเชื่อถึงเกษตรกรโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง โรงสี หรือบริษัทค้าปัจจัยการผลิตทั้งหลายบูรณาการการบริหารจัดการกองทุนที่เกี่ยวกับการแก้ไขหนี้สินเกษตรกรให้เป็นเอกภาพและเร่งรัดแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกร

12.ลงทุนระบบการบริหารจัดการน้ำและระบบชลประทานอย่างจริงจังเพื่อให้สามารถผลิตพืชผลได้ทั้งปี ขณะนี้พื้นที่เกษตรกรรมประมาณ 80% อยู่นอกเขตชลประทาน มีเพียง 20% เท่านั้นที่อยู่ในระบบชลประทาน เกษตรกรส่วนใหญ่หรือสมาชิกในครัวเรือนจึงเคลื่อนย้ายหาอาชีพอื่นนอกภูมิลำเนาทำนอกฤดูกาล เกษตรกรประมาณ 25 ล้านคนมีรายได้เฉลี่ยเพียง 5,000-6,000 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำในภาคอุตสาหกรรมมาก

13.แรงงานในภาคเกษตรเข้าสู่วัยสูงอายุ โดยสมาชิกครัวเรือนเกษตรที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไปอยู่ที่ 28-29% ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลต่อกระบวนการผลิตและผลิตภาพของภาคเกษตรกรรมในระยะข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ