พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีศาลฎีกามีคำพิพากษาถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิตของน.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ด้วยฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามกฎหมาย จากโพสต์ในโซเชียลมีเดียเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ก่อนน.ส.พรรณิการ์ ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร
สำหรับรายละเอียดเนื้อหาสาระของคำพิพากษาต่อกรณีนี้ มีหลายส่วนถูกตั้งคำถามโดยสังคม ไม่ว่าจะเป็นข้อสังเกตเรื่องห้วงเวลาของการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนการรับตำแหน่งทางการเมือง, คำถามเรื่องการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกที่ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย หรือการที่การกระทำเดียวกันของน.ส.พรรณิการ์ เคยถูกฟ้องในฐานความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) แต่ศาลอาญามีคำสั่งยกฟ้อง ยิ่งสะท้อนให้เห็นความผิดปกติของการพิจารณาที่อาจถูกตั้งคำถามได้ว่า ได้ให้ความเป็นธรรมแก่น.ส.พรรณิการ์อย่างเพียงพอหรือไม่
ในภาพใหญ่ เหตุการณ์ของน.ส.พรรณิการ์ เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ตอกย้ำถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ได้ขยายอำนาจขององค์กรอิสระซึ่งมีที่มาที่ขาดความยึดโยงกับประชาชน แต่เปิดช่องให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง โดยเฉพาะการทำลายอนาคตทางการเมืองของผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผ่านกลไกไม้บรรทัดที่ชื่อ "มาตรฐานทางจริยธรรม" ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกใช้เป็นเหตุในการตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตมาแล้วอย่างน้อย 4 กรณี ที่เป็นที่รับรู้วงกว้าง คือ
- น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี (พิพากษาเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 65)
- นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ อดีต สส.มุกดาหาร (พิพากษาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 66)
- นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ (พิพากษาเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 66)
- น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ อดีต สส.กรุงเทพฯ (พิพากษาเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 66)
ทั้งนี้ "มาตรฐานทางจริยธรรม" ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 219 เป็นมาตรฐานที่ถูกกำหนดร่วมกันโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ แต่ถูกบังคับใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด รวมถึงสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 235 กำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริงในข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้อง และเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในกรณีที่เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ดี กลไกนี้มีหลักการที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานประชาธิปไตยสากล เพราะนอกจากเป็นการวางกลไกที่ "ผิดฝาผิดตัว" ในการให้อำนาจองค์กรหนึ่งมากำหนดมาตรฐานจริยธรรม หรือพิพาษาเรื่องจริยธรรมขององค์กรอื่น แต่ยังเป็นการเปิดช่องให้องค์กรตุลาการใช้อำนาจในการ "ประหารชีวิต" นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ด้วยข้ออ้างเรื่อง "จริยธรรม" ที่สามารถถูกเขียนไว้อย่างกว้างและสามารถถูกตีความได้ตามดุลพินิจของตนเอง
เหตุการณ์นี้ จึงยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่พรรคก้าวไกลหวังว่า จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยการปฏิรูปอำนาจและที่มาขององค์กรอิสระเป็นวาระที่ขาดหายไม่ได้ ซึ่งจำเป็นต้องรวมถึง
1. การวางขอบเขตอำนาจให้สมเหตุสมผลและไม่เปิดช่องให้ถูกใช้ในการขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน
2. การปรับกระบวนการสรรหา-รับรองผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ให้ยึดโยงกับประชาชนและไม่ถูกผูกขาดไว้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทางการเมือง
3. การสร้างกลไกในการตรวจสอบและกลไกรับผิดรับชอบขององค์กรอิสระ
ดังนั้น ไม่ว่าอาวุธเรื่อง "มาตรฐานจริยธรรม" ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 จะถูกใช้กับนักการเมืองคนใดหรือจากพรรคการเมืองใด และไม่ว่าพฤติกรรมของนักการเมืองคนนั้น จะเป็นสิ่งที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ทันทีที่สังคมไทยยอมรับให้การใช้อาวุธนี้กลายเป็นเรื่องปกติ นั่นเท่ากับยอมรับให้มีการทำลายล้างกันทางการเมืองอย่างไม่ชอบธรรม จนสุดท้าย "มาตรฐานจริยธรรม" อันเลื่อนลอยและไร้มาตรฐานนี้ เป็นอาวุธหวนกลับมาบ่อนทำลายหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
ด้านนายปิยรัฐ จงเทพ สส.กรุงเทพ พรรคก้าวไกล กล่าวว่ากรณีดังกล่าวชี้ให้เห็นปัญหาของรัฐธรรมนูญ ที่มีการใช้นิติสงครามเพื่อดำเนินการกับนักการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความไม่ได้สัดส่วนกับบทกำหนดโทษที่เหมาะสม รวมถึงการลงโทษซ้ำซ้อน แม้ว่าบุคคลดังกล่าวจะได้รับโทษทางการเมืองไปแล้ว แต่ก็ยังโดนตัดสิทธิย้อนหลังต่อพฤติการณ์ที่เคยทำในอดีต จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กลับมาอยู่ในหลักของประชาธิปไตย และเป็นหลักของนิติรัฐ นิติธรรมที่แท้จริง
ขณะที่น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพ พรรคก้าวไกล กล่าวว่าตามหลักกฎหมายเบื้องต้น ไม่ควรมีกฎหมายลงโทษย้อนหลัง รวมถึงความไม่ได้สัดส่วนของการลงโทษกับการกระทำความผิด เพราะการตัดสิทธิ์ทางการเมืองนั้น หากเทียบกับกฎหมายอาญา เท่ากับการประหารชีวิตทางการเมือง