นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ 2560 กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นไปตามกรอบที่วางการทำงานไว้ ซึ่งจะหารือถึงระยะเวลาและทิศทางการทำงาน และต้องขอบคุณกรรมการทุกคนที่ได้พบและพูดคุยกัน แม้อาจจะมีคณะกรรมการบางคนไม่ได้เข้าร่วมประชุม เนื่องจากติดภารกิจทั้งในและต่างประเทศ แต่การประชุมมีทั้งออฟไลน์และออนไลน์ด้วย
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า จะเริ่มต้นการทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยการขอประชามติ ตามแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วินิจฉัยมาโดยจะยึดถือเป็นหลัก สิ่งที่สำคัญคือรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ข้อแรกคือ จะไม่ไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 และพระราชอำนาจที่อยู่ในมาตราต่างๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องหลัก หลังทุกคนเข้าใจตรงกันแล้วก็จะพิจารณาว่าต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาการทำประชามติในด้านต่างๆหรือไม่ ยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จภายใน 4 ปี อย่างแน่นอน
"หมายความว่า เราตั้งใจจะให้เสร็จสิ้นพร้อมมีกฎหมายลูกประกอบ เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่สามารถทำได้เลย และตั้งมั่นที่จะให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน เพื่อนำมาใช้ให้ได้ ซึ่งก็ต้องพยายามรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ตามคำที่ว่าเราจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นประชาธิปไตยให้ได้มากที่สุด สามารถที่จะลดความขัดแย้ง ไม่อยากให้การสร้างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นการสร้างความขัดแย้งใหม่ให้เกิดขึ้นและไม่ให้มีข้อถกเถียงที่แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ และคิดว่าการทำรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย จำเป็นต้องมีวิวัฒนาการและเป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกตั้งที่ดี ถือเป็นกรอบใหญ่ที่ครม. ได้พูดคุยกัน"
นายภูมิธรรม กล่าวถึงกรณีไม่มีพรรคก้าวไกลเข้าร่วมในคณะกรรมการนั้น เชื่อว่าไม่มีปัญหา แต่ยอมรับว่าเสียดาย ซึ่งเมื่อถึงเวลาก็จะต้องมีการรับฟังความเห็นอยู่แล้ว หากพรรคก้าวไกล หรือหน่วยงานต่างๆ มีความเห็นอะไรเพิ่มเติมก็สามารถส่งเข้ามาได้ ขณะเดียวกัน มองว่า คณะกรรมการ จำนวน 34 คนถือว่าเพียงพอ และมีความคล่องตัว
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการที่พรรคก้าวไกลไม่ร่วมเป็นคณะกรรมการเป็นการตั้งแง่ทางการเมืองเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่อยากคิดว่าการไม่เข้าร่วมของพรรคก้าวไกล เป็นการดิสเครดิตรัฐบาล
"เคารพการตัดสินใจของทุกฝ่าย เราได้แสดงความจริงใจที่จะเชิญทุกฝ่าย ไม่สามารถบังคับใครได้ พร้อมมั่นใจว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จได้ใน 4 ปี ทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น คาดหวังว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเทียบเท่าปี 40 จะเป็นรัฐธรรมนูญที่สอดรับกับสถานการณ์ปกติ มีความเป็นประชาธิไตยมากที่สุด และย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะไม่แก้ไข หมวด 1 และ 2 ซึ่งเป็นหลักการที่ส่วนใหญ่ยอมรับได้" นายภูมิธรรม กล่าว