นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ เผยผลการเดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย สามารถขับเคลื่อนการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกระหว่างเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนกับคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (ASEAN-GCC Summit) ที่จัดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์อาเซียน-GCC ที่มีมานานกว่า 30 ปี แต่การเยือนครั้งนี้มีความหมายเหนือกว่าการเป็นสัญลักษณ์สำคัญระหว่างสองฝ่ายหลายประการ
เรื่องแรก เป็นโอกาสที่ได้แนะนำนโยบายและจุดเน้นของรัฐบาลนี้กับกลุ่มประเทศ GCC ที่ถือได้ว่าเป็นตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงและแหล่งทุนขนาดใหญ่ ซึ่งในการเยือนครั้งนี้ฝ่ายไทยนำโดยนายกรัฐมนตรีได้พบกับบริษัทรายใหญ่และสำคัญของซาอุดีอาระเบีย ได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูล/ความเห็น เพื่อหาแนวร่วมขยายโอกาสทางการค้าการลงทุนระหว่างกันในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง เช่น ด้านอาหาร พลังงาน และการท่องเที่ยว
เรื่องต่อมา กอนกลับตนได้พบหารือกับนายคอลิด บิน อับดุลอะซีซ อัลฟาลิห์ รมว.การลงทุน ซาอุดีฯ ซึ่งทั้งสองฝ่ายยินดีกับโอกาสและศักยภาพความร่วมมือและโครงการการลงทุนระหว่างกัน อีกทั้งจะผลักดันความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นในสาขาที่มีความสนใจร่วมกันและที่มีความเชี่ยวชาญ
เรื่องที่สาม ตนเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ในฐานะ รมว.ต่างประเทศ ก็เป็นจังหวะที่สำคัญ เพราะกลุ่มประเทศ GCC เป็นกลุ่มประเทศที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลางเป็นอย่างมากในขณะนี้ นอกจากการหารือทวิภาคีกับซาอุดีฯ แล้ว ยังได้ร่วมสนับสนุนให้มีการออกแถลงการณ์ร่วมอาเซียน-GCC แสดงความเห็นต่อพัฒนาการในกาซา โดยเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวตัวประกันพลเรือนและผู้ถูกจับกุมในทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข
"ผมขอย้ำกับพี่น้องคนไทยที่รอฟังข่าวดีเกี่ยวกับญาติพี่น้องที่รับผลกระทบจากความรุนแรงในตะวันออกกลางในขณะนี้ว่า รัฐบาลไทยกำลังใช้ทุกวิธีทาง ทุกความสามารถ และทุกความสัมพันธ์ในทุกระดับ เพื่อที่จะนำไปสู่การปล่อยตัวประกันทันที และความปลอดภัยของคนไทยทุกๆ คนครับ" นายปานปรีย์ กล่าว