นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Dinner Talk "Thailand?s Future อนาคตประเทศไทย 2024" โดยมองว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดประเทศหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องการการแก้ไข เงิน 1 หมื่นบาทของ 1 ครอบครัวสามารถเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนอาชีพได้หากฟังอย่างมีเหตุมีผล ระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลต้องการกระตุ้นทั้งระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งในส่วนของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตนั้น มีทั้งคนไม่เห็นด้วย หรือเห็นด้วยแต่ต้องการให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือเห็นด้วยอย่างมีข้อเสนอแนะ รัฐบาลพร้อมที่จะรับฟัง
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยต้องการการกระตุ้น การแจกเงินมีความหมายหลายอย่าง การกำหนดให้ใช้ 1 หมื่นบาทให้หมดใน 6 เดือน เพื่อเร่งการผลิต เร่งใช้จ่าย เกิดการหมุนเวียนของเงิน ส่วนการกำหนดรัศมีไม่เกิน 4 กม. หรือทั้งอำเภอเพราะไม่อยากให้คนเอาเงินไปใช้ในเมืองใหญ่ อยากให้ร้านค้าในจังหวัดเล็กๆ ได้ด้วย ซึ่งรัฐบาลอธิบายได้ทั้งหมดเกี่ยวกับแนวคิดของการดำเนินงาน
สำหรับการเดินทางไปเยือนต่างประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกภาคธุรกิจในหลายประเทศที่ตนได้ไปประชุมหารือด้วย ทุกคนยังมองเห็นโอกาสในประเทศไทยอีกมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของตนที่จะนำจุดเด่นของประเทศไทยไปขาย ไม่ว่าจะเป็น จุดเด่นที่กำลังทำอยู่ในวันนี้ คือ เรื่องของอุตสาหกรรมเดิมที่มีความแข็งแกร่ง หรือจะเป็นความพร้อมของอุตสาหกรรมใหม่ เป็น X Factor ซึ่งที่ผ่านมาได้นำเอกชนร่วมเดินทางได้ผลงานที่เป็นรูปธรรม อาทิ การหารือร่วมกับ Microsoft, Google, Tesla ซึ่งหลายรายสนใจที่จะลงทุนในไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเดือนพ.ย.จะเดินทางไปร่วมประชุมเอเปค เชื่อว่าจะมีข่าวดีของ Microsoft, Google และรายอื่นๆ ตามมาเป็นฐานการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะกลาง และยาว รัฐบาลพร้อมเดินไปข้างหน้าค้าขายในทุกมิติ ทั้งผลิตภัณฑ์การเกษตร ลงทุน ชายแดน การท่องเที่ยว การยกเว้นวีซ่า การขยายระยะเวลาการประกอบกิจกรรมสถานบริหาร
ส่วนการเดินทางไปเยือนประเทศจีน โดยมีตัวแทนหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยร่วมเดินทางไปด้วย และได้ประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยรัฐบาลจะเชิญเอกชนให้ร่วมเดินทางไปต่างประเทศด้วยเพื่อทำ Business Matching ช่วยเอื้อให้เกิดการพูดคุย รัฐบาลอำนวยความสะดวกให้เกิดการค้าการลงทุน สินค้า Hitech ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่มีการลงทุนสินค้าประเภท EV โดยเป็นผลงานที่ส่งต่อมาจากรัฐบาลก่อน และรัฐบาลนี้พร้อมสานต่อ และจะสนับสนุนให้เกิดการผลิต ก่อตั้งห่วงโซ่การผลิตที่ไทย
ส่วนการเดินทางไปเยือนซาอุดีอาระเบียนั้น ได้มีโอกาสพบบริษัทชั้นนำ SABIC SALIC ARAMCO และ PIF ซึ่งเป็นบริษัทกองทุนบำเหน็จบำนาญ มีเงินลงทุน 7 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งทุกบริษัทสนใจเข้ามาลงทุน และรัฐบาลนี้มีนโยบายที่จะเลี้ยงโคไปขายต่างประเทศ เนื่องจากมีความต้องการจากบรูไน มาเลเซีย และซาอุดีอาระเบีย
"รัฐบาลต้องพัฒนาแผนงานระยะกลาง ระยะยาว เพิ่มรายได้เกษตรกรให้มีรายได้มากขึ้น 3 เท่าภายใน 4 ปี ไม่ใช่แค่เพิ่มราคา แต่พัฒนาอาชีพด้วย การพักหนี้เป็นการเยียวยาจิตใจให้มีขวัญและกำลังใจ มีแรงประกอบอาชีพที่เสริมรายได้มากขึ้น พัฒนาความเป็นอยู่" นายกรัฐมนตรี ระบุ
นายเศรษฐา กล่าวว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะทำหน้าที่เป็นเซลล์แมนของประเทศด้วย และต้องการมีฐานการผลิตที่ดี ซึ่งต้องมีนโยบายด้านการลงทุนที่ดีด้วย บีโอไอเป็นหน่วยงานที่ดีให้ความสำคัญกับการลงทุน มีนโยบายที่ดี แข่งขันได้ เพื่อสนับสนุนการลงทุน สร้างโรงงาน และยกระดับอุตสาหกรรมไทยได้
รัฐบาลนี้จะลงมือโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อยกระดับการขนส่งสินค้าให้ไทยเป็น Logistics Hub ระดับโลก เชื่อว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาส การลงทุนนี้จะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันให้คนไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องการให้คนรุ่นใหม่มีขวัญกำลังใจ เชื่อว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาล เป็นหน้าที่ของเอกชน เป็นหน้าที่ของทุกคน ขอให้ช่วยกัน รัฐบาลมีการดำเนินการในหลายประเด็นทางสังคม ทั้งการสมรสเท่าเทียม การสมัครใจเกณฑ์ทหาร ทำให้เขามีสิทธิเสรีภาพในการเลือก รัฐบาลไม่ได้โฟกัสเรื่องของเศรษฐกิจอย่างเดียว
"รัฐบาลโฟกัสที่จิตใจของทุกๆ คน จะพยายามไม่อยู่บนความขัดแย้ง และเชื่อว่าหลายๆ คนเป็นกำลังใจให้รัฐบาล หากมีข้อสงสัย และไม่มั่นใจในทิศทางที่รัฐบาลทำ ก็ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องชี้แจง และอธิบายให้ดีที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ รัฐบาลจะไม่เหน็ดเหนื่อยกับการอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ ว่าทำไมเราต้องทำ" นายเศรษฐา ระบุ
นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า ทุกคนเป็นกำลังใจให้รัฐบาล ที่รัฐบาลมายืนอยู่ตรงนี้ เพื่อต้องการที่จะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุกๆ มิติ รัฐบาลตั้งใจที่จะทำทุกวิถีทาง เพื่อช่วย K Shape ทั้ง K ด้านบน และ K ด้านล่าง ซึ่งด้านล่างชีวิตจะต้องดีขึ้น รายได้ดีขึ้น ค่าใช้จ่ายลดลง และมีโอกาสในการใช้ชีวิต ส่วนด้านบนจะต้องได้รับการส่งเสริมให้เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้ประเทศเจริญเติบโตต่อไปได้
"ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ใช่ประชานิยมอย่างเดียว แต่ต้องการถ่าง K Shape ระหว่างคนมี และคนไม่มี (Those who have and those who doesn?t have) เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันสนับสนุน นโยบายการเงินการคลัง ไม่ใช่ระวังวินัย แต่ต้องตอบโจทย์ของประชาชน ยกระดับชีวิตประชาชน โดยคำนึงถึงวินับทางการเงินการคลัง รัฐบาลรับฟังตระหนักถึงสถานภาพอย่างดี อยากให้เดินไปข้างหน้าด้วยเสถียรภาพ และต้องยกระดับประชาชนให้ได้ เพื่อแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำของเศรษฐกิจ ปัญหาหลายอย่างเกิดจากความเหลื่อมล้ำ ซึ่งรัฐบาลต้องกระตุ้นให้ตรงจุด มีแนวทางชัดเจน" นายเศรษฐา กล่าว