นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยว่า พอใจผลตอบรับในการเดินทางเข้าร่วมการประชุม ASEAN-Japan ครั้งนี้ ซึ่งขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมทุกคนที่ทำการบ้านอย่างหนักจนทำให้การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีการลงทุนมากที่สุดในอาเซียน การประชุมครั้งนี้ทำให้มีโอกาสได้พูดคุยกันในหลายๆ เรื่อง ทั้งความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น การลงทุน การท่องเที่ยว พลังงานสะอาด Digital Economy Connectivity หุ้นส่วนแบบใจถึงใจ (heart to heart partnership) ซึ่งเกิดจากความผูกพันทางจิตใจ ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนที่แน่นแฟ้น ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว การอำนวยความสะดวกนักธุรกิจ จนมีความผูกพันกัน และรู้สึกประทับใจมากที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพูดถึงนายเจ ชนาธิป นักฟุตบอลชาวไทยในคำกล่าวช่วงปิดการประชุมซึ่งแสดงถึงความผูกพันระหว่างกันจริงๆ
ในโอกาสเดินทางครั้งนี้ ตนได้มีโอกาสหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งได้พูดคุยเกี่ยวกับด้านการลงทุน และกล่าวถึงการพบปะกับนักธุรกิจรายใหญ่ด้านยานยนต์ 7 บริษัทของญี่ปุ่น ซึ่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นขอบคุณและสบายใจกับการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์จากเครื่องยนต์สันดาปไปเป็นยานยนต์ไฟฟ้า เพราะนายกรัฐมนตรีไทยได้ให้ความมั่นใจว่าจะช่วยดูแลนักธุรกิจญี่ปุ่น และได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาความร่วมมือด้านซอฟท์พาวเวอร์ การลงทุนระหว่างกัน เรื่องการท่องเที่ยว การโรงแรม ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ขอให้ชาวญี่ปุ่นดูแลธุรกิจของคนไทยในประเทศญี่ปุ่นด้วย ต่อความร่วมมือ OECD ซึ่งมีประเทศสมาชิกมหาอำนาจทั้ง 30 ประเทศ แต่ไทยยังไม่ได้เป็นสมาชิก และในปีหน้าประเทศญี่ปุ่นในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมได้เชิญไทยร่วมเป็นประเทศสังเกตการณ์
การหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ต่อสถานการณ์ในเมียนมา นายกรัฐมนตรีได้ให้ความมั่นใจว่า ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเมียนมามากกว่า 2,000 กิโลเมตร พร้อมจะร่วมมือกับญี่ปุ่นจัดตั้งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม Humanitarian Assistance Committee เพื่อให้เกิดความช่วยเหลือร่วมกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้มอบสาเกซึ่งทำจากข้าวไทย ชื่อ awamori เป็นของขวัญให้แก่นายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจนเกิดเป็น fusion ของซอฟท์พาวเวอร์ของทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้พูดคุยกับผู้นำอีกหลายประเทศ ได้แก่ สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้พูดคุยเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านการกงสุลให้กับคนไทยและคนกัมพูชาได้เดินทางระหว่างกันบริเวณเสียมราฐ, นายกรัฐมนตรีเวียดนาม หารือเพื่อรื้อฟื้นความร่วมมือในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ซึ่งกำหนดไว้อย่างคร่าวๆ ว่าจะจัดครั้งต่อไปในช่วงระหว่างเดือน พ.ค.67 และเป็นโอกาสให้ทั้งสองประเทศซึ่งเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกได้พูดคุยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรข้าวของทั้งสองประเทศ และยังได้พูดคุยเรื่องความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว ซึ่งจะจัดเป็นคณะกรรมการร่วมเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยใช้จุดเด่นด้านความเชื่อมโยงของไทย ให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน
การพูดคุยกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ฝ่ายอินโดนีเซียยืนยันจะขอซื้อข้าวจากไทย 1 ล้านตันภายในปีนี้ หรือหากมีข้อจำกัดจะขอซื้อ 2 ล้านตันภายในปีหน้า โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ รมว.เกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ติดตามเรื่องนี้ รวมทั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้กล่าวว่านักธุรกิจอินโดนีเซียมีความต้องการที่จะร่วมลงทุนในโครงการ Landbridge ของไทยด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินทางมาร่วมประชุมครั้งนี้ทำให้เกิดความสบายใจ รู้สึกเป็นการพูดคุยอย่างรู้ใจกับผู้ที่มีความผูกพันกัน ทั้งในระดับรัฐบาล ระดับธุรกิจ และระดับประชาชน โดยต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้มีส่วนร่วมดำเนินการในการเดินทางครั้งนี้อย่างมากเนื่องจากทำให้การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงของขวัญปีใหม่ที่จะให้กับประชาชนว่า ในการทำงานทุกวันนี้ตั้งใจทำงานอย่างมาก โดยไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นในการเข้ามาเล่นการเมือง ต้องการมาทำงานเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้กับประชาชน โดยตั้งใจจะทำให้ทุกวันทำงานทุกวันเป็นของขวัญให้ประชาชน อาจจะมีบ้างบางส่วนที่รัฐบาลทำได้ช้า แต่ตั้งใจไว้ว่าอะไรทำได้ก็ทำก่อน เนื่องจากมีประเด็นความท้าทายในหลายเรื่อง ทั้งความเสมอภาค ความเท่าเทียม ซึ่งต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ