เริ่มแล้ว สำหรับการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ วาระแรก โดยมีวงเงินงบประมาณ 3.48 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2566 จำนวน 295,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.3% และมีงบกลางจำนวนกว่า 606,000 ล้านบาท ภายใต้กรอบการอภิปรายรวม 3 วัน (3-5 ม.ค.67) หลังล่าช้าจากการเปลี่ยนรัฐบาล
โดยพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้กำหนดธีมในการอภิปรายครั้งนี้ไว้ "วิกฤติแบบใด? ทำไมจัดงบแบบนี้" เพราะรัฐบาลบอกตลอดเวลาว่า ประเทศไทยอยู่ในวิกฤตที่ต้องกู้เงินมาทำโครงการต่างๆ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่สุดท้ายการกระทำจะสะท้อนออกมาผ่านการจัดทำงบประมาณว่ารัฐบาลมองประเทศมีวิกฤติจริงหรือไม่
การอภิปรายงบประมาณในครั้งนี้ ฝ่ายค้านมีการวางไว้หลายด้าน เช่น วิกฤติเศรษฐกิจปากท้อง ที่พรรคเพื่อไทยเน้นย้ำอย่างมากว่า ประเทศอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจ ฝ่ายค้านจะชี้ให้เห็นว่า การบอกว่ามีวิกฤติเศรษฐกิจ แล้วจัดงบแบบนี้หรือ รวมถึงงบด้านสิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำที่พรรคการเมืองพูดถึงวิกฤติความเหลื่อมล้ำ แต่การจัดงบไม่สามารถบรรเทาความเหลื่อมล้ำในประเทศได้เลย และวิกฤติทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่จำนวนเด็กเกิดน้อย การศึกษาของเยาวชน เติบโตจนเป็นแรงงานด้านต่างๆ เราได้งบประมาณเพื่อรองรับการเติบโตของทรัพยากรมนุษย์ของประเทศที่รัฐมนตรีเพิ่งออกมาพูดถึงอัตราเด็กเกิดต่ำ อาจกระทบในอนาคต ดังนั้นต้องดูว่าการจัดงบประมาณในครั้งนี้ จะสะท้อนวิกฤติปัญหาเหล่านี้หรือไม่
พร้อมยอมรับว่าการอภิปรายอาจแตะ พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท เนื่องจากรัฐบาลได้อ้างถึงสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศอยู่ในวิกฤติที่จะต้องกู้เงินมาดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่การจัดสรรร่างกฎหมายงบประมาณ ได้สะท้อนให้เห็นว่าประเทศกำลังวิกฤติจริงหรือไม่ ซึ่งจากที่ได้พิจารณาในเบื้องต้น กลับมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของการจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้ว่าแตกต่างไปจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ส่วนการจะอภิปรายงบประมาณของกรมราชทัณฑ์ ที่อาจพาดพิงถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงงบประมาณนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานประธานสภาฯ ระบุว่า สามารถอภิปรายได้ แต่หากไม่เกี่ยวกับงบประมาณ จะต้องไปอภิปรายในช่วงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ดังนั้น ต้องจับตาการอภิปรายงบประมาณในครั้งนี้ว่าฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ชำแหละ และเปิดโปงงบที่ซ่อนอยู่ได้ตามที่ได้รับโจทย์ไว้หรือไม่ และฝ่ายรัฐบาลจะสามารถชี้แจงถึงความจำเป็นในการจัดงบประมาณแต่ละกระทรวงได้สมเหตุสมผลหรือไม่