นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา "The Better Future Forward 2024" หัวข้อ "Reinventing Thailand : Toward Becoming a Key Global Player ทำประเทศไทยให้ดีกว่าเดิม : สู่พลังขับเคลื่อนหลักในเวทีโลก" ว่า จุดยืนรัฐบาลชัดเจนว่าขณะนี้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต โดยดูจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะบ่งบอกชัดเจนว่าไม่สามารถสู้คู่แข่งขันกับต่างประเทศได้ ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และกัมพูชา ซึ่งประเทศเหล่านี้มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าไทยมาก
ทั้งนี้ ถ้าไทยยืนอยู่ประเทศเดียวในโลก และเติบโตที่ระดับ 1.5% คงไม่เป็นอะไร แต่วันนี้ไทยแพ้คู่แข่ง 2-3 เท่าตัว ทำให้โอกาสของไทยยิ่งลดน้อยลงไป
ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลจะใช้เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลที่ผ่านๆ มา มีการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะแบบหยอดน้ำข้าวต้ม ซึ่งรัฐบาลนี้มองว่าไม่น่าจะได้ผล ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ นั่นคือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท แต่ทั้งนี้ ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้
"ประเทศไทยเป็นกระจกสะท้อนเรขาคณิต มีพีรามิดชัดเจน คนมีเงินมากอยู่ฐานบน คนมีเงินน้อยอยู่ฐานล่าง ฐานล่างก็มีคนรอความช่วยเหลือมากมาย ผ่านมาหลายๆ รัฐบาล มีการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบหยอดน้ำข้าวต้ม ทีละ 500 ทีละ 1,000 ทีละ 2,000 ไม่ไปถึงไหนเลย วิธีการนี้ไม่เวิร์ค เราจึงต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่" นายเศรษฐา กล่าว
พร้อมระบุว่า ถ้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เกิดขึ้นได้ 1 มิ.ย. เชื่อว่าทุกคนพร้อมจะผลิตสินค้ามากขึ้น เพราะจะมีเม็ดเงินใหม่เข้าไปในระบบ 5 แสนล้านบาท ทำให้การจ้างงาน การสั่งของ การทำงานล่วงเวลาเกิดขึ้นตามมา และต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทุกอำเภอ ทุกจังหวัดของประเทศ
ในส่วนของปัญหาเรื่องหนี้สิน มองว่ายังไม่มีรัฐบาลไหนแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ปัญหาใหญ่ คือหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ประสบปัญหาเป็นอย่างมาก และมีการจ่ายดอกเบี้ยเกินไปมาก ซึ่งเรื่องนี้ต้องช่วยกันแก้ไข ทั้งจากฝ่ายความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง
"ถ้าตรงนี้ไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะมีปัญหา และหากฐานรากสังคมไม่แข็งแรง ระดับบนก็ไม่แข็งแรง เป็นเรื่องที่รัฐบาลตั้งใจทำให้สำเร็จ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
สำหรับการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจในประเทศไทย ที่ยังพบว่าต่างชาติยังไม่ได้รับความสะดวกนั้น รัฐบาลนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการดูแล Ease of Doing business ทำให้การขออนุมัติต่างๆ รวดเร็วและกระชับขึ้น ซึ่งพยายามสร้างโอกาสให้ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น
นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อนก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ มีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย และทำให้โอกาสลดน้อยลงไป แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เป็นโอกาส คือ สุราเสรี รัฐบาลต้องการให้การสนับสนุนเรื่องนี้ผ่านรัฐสภา และผู้ผลิตต้องเข้าใจว่า การผลิตสุราเสรีต้องมีสูตรชัดเจน มีวิธีบำบัดน้ำเสียที่ชัดเจน และต้องยอมรับกับกฎกติกาบางอย่าง และคำนึงความปลอดภัยของประชาชนด้วย
นายเศรษฐา กล่าวถึงโครงการแลนด์บริดจ์ ที่ยังมีทั้งคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งหากเทียบโครงการเมกะโปรเจกต์ขนาด ใหญ่ที่ผ่านมา มีเพียงสนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้นที่เกิดขึ้นในรอบ 20 ปี และยังไม่มีโครงการใหญ่อื่นๆ เลย ซึ่งสนามบินสุวรรณภูมิหรือสนามบินหนองงูเห่าในปัจจุบัน สามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาล หากวันนี้มีแค่สนามบินดอนเมือง เราจะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขนาดนี้หรือไม่ ดังนั้นในกรณีของโครงการแลนด์บริดจ์ จึงไม่อยากให้เกิดคำว่า "รู้งี้" เพราะโครงการแลนด์บริดจ์ต้องอาศัยเวลานานถึง 10 ปีในการก่อสร้าง จึงควรต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้
ส่วนสิงคโปร์อาจไม่พอใจที่ไทยมาแข่งขันในด้านนี้ นายกรัฐมนตรี มองว่า เรื่องนี้เป็นการส่งเสริมกันมากกว่า เพราะปริมาณการค้าโลกที่เพิ่มมากขึ้น และการขนส่งสินค้าจะเพิ่มขึ้นมาก ถ้าหากไม่ทำจะเสียหายมากกว่า พร้อมย้ำว่า ไทยมีความเป็นกลาง เป็นมิตรกับทุกประเทศทั้งสหรัฐ จีน และอินเดีย และเชื่อว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง
"ยืนยันว่า พร้อมรับฟังเสียงจากผู้ที่เห็นต่าง ทั้งด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผลเสียต่อการท่องเที่ยว ซึ่งต้องมีการพูดคุยและเยียวยา รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และถ้าไม่เริ่มโครงการวันนี้ กว่าโครงการจะเสร็จ ก็ใช้เวลาเป็นอีก 10 ปี" นายกรัฐมนตรี ระบุ
สำหรับเรื่องการท่องเที่ยว นอกจากเรื่องฟรีวีซ่าจีนที่จะเป็นการยกระดับการท่องเที่ยวของทั้งสองฝ่าย ซึ่งรัฐบาลนี้พยายามยกระดับพาสปอร์ตขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องสนามบิน ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการบินระดับโลกในเอเชียแปซิฟิกได้ จึงมีแนวคิดยกระดับสนามบินต่างจังหวัด ทั้งเชียงใหม่ ซึ่งจะมีการปรับชื่อเป็นสนามบินล้านนา เพื่อให้เชื่อมโยงกับลำปาง และลำพูน ส่วนภาคใต้ ก็จะเป็นสนามบินอันดามัน เชื่อมโยงจังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา และระนอง ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นเอเชียฮับระดับโลก หลายประเทศให้ความสนใจในเรื่องนี้ ยกให้ไทยเป็นพี่ใหญ่ในเรื่องของการท่องเที่ยว
ส่วนเรื่องสาธารณสุข เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ หากย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโลก ในรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนโยบายที่ประชาชนคนไทยได้ประโยชน์สูงมาก และที่ผ่านมานโยบายใหญ่ๆ ถูกต้านมาโดยตลอด และมีวาทกรรมประหลาดออกมา เช่น 30 บาทตายทุกโรค แต่เรื่องนี้ประชาชนคนไทยที่เป็นฐานรากของพีระมิด จะได้รับประโยชน์สูงสุด และรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยจะมีการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้การเข้าถึงบริการได้มากยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องสิทธิเสรีภาพ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องรัฐธรรมนูญจะพยายามไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปไปได้ บนสภาวะที่อยู่ร่วมกันในความเห็นต่างอย่างมีความสุขในทุกๆ คน เรื่องสิทธิเสรีภาพในการเลือก ทั้งเรื่องการเลือกเพศสภาพ ซึ่งรัฐบาลนี้ได้นำเข้าสู่สภาและผ่านวาระแรกไปแล้ว เรื่องการเกณฑ์ทหารก็มีให้การเกณฑ์ทหารอย่างเสรี และช่องว่างทหารกับประชาชนก็แคบลงเรื่อยๆ
"ขอให้มั่นใจว่า โอกาสที่มี ไม่ใช่แค่โอกาสทางด้านเศรษฐกิจ ที่ประชาชนจะมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น แต่เป็นโอกาสที่ทำให้หัวใจของประชาชนฟูขึ้นได้ จากการมีสิทธิเสรีภาพที่ดี...ทุกเรื่องถือเป็นโอกาสที่ดีกว่าสำหรับคนไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า และเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป" นายกรัฐมนตรี ระบุ