นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าว FRANCE 24 ประเทศฝรั่งเศส ถึงนโยบายเร่งด่วน และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยย้ำว่า ช่วงการจัดตั้งรัฐบาลของตนในระยะแรก สิ่งสำคัญที่สุดคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากในมุมมองของตน เห็นว่าช่วง 9 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดก่อนยังละเลยปัญหาเศรษฐกิจไปบ้าง ดังนั้น รัฐบาลของตนจึงเน้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน รวมถึงการจัดทำแผนระยะยาวสำหรับประเด็นสำคัญ ๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุน ทั้งจากสหรัฐอเมริกา และจีน เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงการได้พบกับนายเอ็มมานูเอล มาครอง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในคราวการเดินทางเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเห็นว่า นายมาครง มีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ ใส่ใจโลก ซึ่งตนและนายมาครง ได้มีโอกาสพูดคุยถึงความสัมพันธ์ 300 ปีระหว่างไทย-ฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในคู่ค้าของไทยที่ยาวนาน พร้อมสนับสนุนวีซ่าเชงเก้นฟรีกับไทย
โดยในช่วงกลางเดือนพ.ค.นี้ จะเดินทางไปเยือนฝรั่งเศสอีกครั้ง เพื่อหารือถึงการประชุมนักธุรกิจชาวไทย และฝรั่งเศส โดยจะนำคณะผู้แทนบริษัทใหญ่ไปอย่างเต็มรูปแบบ และเชื่อว่าฝรั่งเศสก็จะนำบริษัทชุดใหญ่มาด้วย เพื่อหารือถึงการลงทุนระหว่างกัน
ส่วนความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง ที่นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยมักถูกรัฐประหารนั้น นายเศรษฐา ระบุว่า ไม่กังวลกับสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนสามารถควบคุมได้ และได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของรัฐบาลชุดก่อน รวมถึงมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยดีขึ้น พร้อมมั่นใจว่า อนาคตของประเทศไทย จะเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เพราะมิเช่นนั้นตนก็คงจะไม่ได้นั่งอยู่จุดนี้
นายกรัฐมนตรี ยังให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายการนำกัญชาให้กลับมาอยู่ในบัญชียาเสพติด โดยเห็นว่าที่ผ่านมาการ ประกาศให้กัญชาถูกกฎหมาย สร้างความเสียหายให้กับคนไทยอย่างใหญ่หลวง มากกว่าจะมีผลทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังให้สัมภาษณ์ถึงการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาว่า หากมีผู้ต้องการขอความช่วยเหลือ รัฐบาลก็พร้อมช่วย แต่ขณะนี้มีผู้อพยพส่วนหนึ่งมาอยู่ในประเทศไทยแล้ว แต่เมื่อคราวที่นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติจากสหรัฐอเมริกา และนายหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศของจีน ได้มาประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงเทพฯ พร้อมร้องขอให้ประเทศไทยทำหน้าที่เป็นคนกลาง ไม่ให้ปัญหาบานปลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ดังนั้น ปัญหาผู้ลี้ภัยจึงไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่ควรเน้นไปที่บทบาทของประเทศไทยว่าจะมีบทบาทอย่างไร เพื่อไม่ให้ปัญหาบานปลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง