ในการประชุมวุฒิสภา นัดสุดท้าย ก่อนปิดสมัยการประชุม นายคำนูณ สิทธิสมาน สว.ได้อภิปรายหารือต่อที่ประชุมวุฒิสภานัดสุดท้ายว่า ฝากถึงรัฐบาลเกี่ยวกับประเด็นการใช้เงินในโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จากการจัดทำงบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท โดยเป็นงบขาดดุลสูงสุด 8.65 แสนล้านบาท ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 1.52 แสนล้านบาท
ตามที่รัฐบาลจะแถลงเรื่องที่มาของงบที่จะใช้ดำเนินโครงการดังกล่าว ทำให้คาดการณ์ได้ไม่ยากว่า 1.ไม่ออกกฎหมายพิเศษกู้เงิน 500,000 ล้านบาท 2.ใช้เงินจากงบประมาณ โดยผสมผสานจากงบปี 68 ที่ขาดดุลเพิ่มจุด 1.5 แสนล้านบาท แล้วตัดมาจากส่วนงานอื่นก็น่าจะได้ประมาณ 3.5-3.7 แสนล้านบาท ประเด็นอยู่ที่ยังขาดเงินมาดำเนินโครงการอีก 1.3 แสนล้านบาทจะเอามาจากไหน จึงคาดการณ์กันว่า แนวทางปลอดภัยที่สุดคือ มาจากงบประมาณปี 67 โดยการแปลงงบประมาณออกมาอีกไม่เกิน 1.3 แสนล้านบาท ถ้าขาดเหลืออยู่บ้างก็จะให้ธนาคารของรัฐปฏิบัติตามมาตรา 28 ของ พรบ.วินัยการเงินการคลัง
นายคำนูณ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับวิธีการใช้เงินคือ ใช้จากเงินงบประมาณเพราะใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายผ่านรัฐสภาแล้ว ไม่ใช่เงินนอกงบประมาณที่ออกกฎหมายพิเศษกู้เงิน แต่ในส่วนที่จะนำเงินมาจากงบประมาณปี 67 ที่ผ่านมาไม่มีใครอภิปรายเรื่องเงินดิจิทัลทั้งในชั้นของ สส. และ สว. โดยไม่มีชื่อโครงการนี้อยู่ในร่างงบประมาณ ดังนั้นการจะแปลงงบประมาณออกไปก็เหมือนกับว่าโครงการไม่ได้ถูกตั้งมาตั้งแต่ต้นทั้งที่รัฐบาลสามารถทำได้ และมีหลายคนแนะนำให้รัฐบาลทำ ซึ่งในช่วงเวลานั้นรัฐบาลสาละวนอยู่กับการออกกฎหมายพิเศษกู้เงิน ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อผ่านสภาก็จริง แต่เหมือนไม่ผ่าน
ประเด็นอยู่ที่ว่า ในที่สุดก็ต้องเอาจากงบประมาณปี 67 เมื่อไปดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว รัฐบาลมีความจำเป็นและตนเห็นว่ารัฐบาลต้องแถลงให้ชัดเจนว่า การนำงบประมาณปี 67 ประมาณ 1.3 แสนล้านบาท รัฐบาลจะต้องตราเป็น พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี ผ่านสภาตามปกติ ซึ่งการออกกฎหมายเช่นนี้จะต้องทำเป็น พ.ร.บ.เท่านั้น แต่สิ่งสำคัญการที่จะตัดงบประมาณออกมาได้ 1.3 แสนล้านบาท ก็มีข่าวที่คาดการณ์กันว่า น่าจะตัดมาจากงบกลางประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท จึงเป็นร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณที่แปลกกว่าทุกฉบับที่เคยมีมา เนื่องจากปกติจะตัดจากหน่วยงานอื่นๆ มาไว้ที่งบกลาง แต่กรณีนี้จะตัดจากงบกลางมาไว้เพื่อใช้ในโครงการใหม่ ที่ไม่เคยมีการพิจารณาในชั้นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี
หากรัฐบาลจะออกร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี เมื่อไม่มีการระบุเช่นนี้ เงื่อนเวลาจึงสำคัญ เพราะถ้าเผื่อออกกฎหมายโอนงบประมาณมาก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่างบกลางจะเหลือ หากก่อนวันที่ 30 ก.ย. เกิดเหตุฉุกเฉินมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องใช้งบกลาง สามารถอธิบายได้หรือไม่ ซึ่งประเด็นต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นปริศนา
"ที่จำเป็นต้องหารือวันนี้ไปยังรัฐบาล เพราะถ้าผมไม่พูดวันนี้ก็จะไม่ได้พูด เปิดประชุมสมัยประชุม 3 กรกฎาคม เรื่องทั้งหมดก็จะผ่านไปแล้ว ดังนั้นประเด็นทั้งหมดจึงฝากไปยังรัฐบาลให้มีความชัดเจนว่าจะใช้วิธีการใดในการโอนงบประมาณงบปี 67 ออกไป ซึ่งแน่นอนจะต้องตราเป็น พ.ร.บ.โอนงบประมาณ ก็ต้องชี้แจงให้ชัดเจน เพื่อจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในกรณีที่เกิดความจำเป็นเร่งด่วน หากต้องใช้งบกลางในอนาคต" นายคำนูณ กล่าว