นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางไปเยือนต่างประเทศในช่วงเดือน พ.ค.นี้ โดยระหว่างวันที่ 15-16 พ.ค.67 จะนำคณะนักธุรกิจไทยร่วมงาน Thailand-France Business Forum & Roundtable ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส จากนั้นช่วงวันที่ 17-21 พ.ค.67 จะนำคณะเดินทางไปเยือนเมืองมิลาน และกรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการ และช่วงวันที่ 22-24 พ.ค.67 จะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
โดยการเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสครั้งนี้เป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วง 3 เดือน หลังการเดินทางเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7-12 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการพบหารือทวิภาคีกับนายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ เพื่อติดตามผลการเยือนฯ โดยเฉพาะในด้านการค้าการลงทุน อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และซอฟท์พาวเวอร์ พร้อมทั้งนำคณะนักธุรกิจไทยร่วมงาน Thailand-France Business Forum & Roundtable ซึ่งเป็นผลจากการหารือระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในห้วงการเยือนฯ
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเยือนสาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งพบหารือทวิภาคีกับนางจอร์จา เมโลนี นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อกระชับความร่วมมือในสาขาที่ไทยและอิตาลีมีศักยภาพ อาทิ 1) ด้านพลังงานหมุนเวียน 2) การท่องเที่ยวเชิงกีฬา 3) วิทยาศาสตร์การแพทย์และเภสัชกรรม 4) ด้านกลาโหม รวมทั้งแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ที่จดทะเบียน GI ในยุโรป การส่งเสริมธุรกิจ SMEs ด้านอวกาศ และความยั่งยืนทางอาหาร ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะมีกำหนดการพบหารือกับภาคเอกชนรายใหญ่ระดับโลกของอิตาลีและจะเชิญชวนให้ภาคเอกชนอิตาลีลงทุนในไทย โดยเฉพาะด้านแฟชั่น และซอฟท์พาวเวอร์ ด้านการเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์ และพลังงาน ซึ่งรวมทั้งจะได้พบหารือกับประธาน the National Chamber of Italian Fashion องค์กรที่มีความสำคัญด้านแฟชั่นของอิตาลีอีกด้วย
หลังเสร็จสิ้นภารกิจในยุโรป นายกรัฐมนตรีจะเดินทางเข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาในการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29 ณ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนญี่ปุ่น และดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนญี่ปุ่นเข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งในการประชุมนี้ ภาคธุรกิจญี่ปุ่นจะสนใจติดตามฟังปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีไทยเสมอ เนื่องจากไทยเป็นแหล่งลงทุนที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดของญี่ปุ่นในอาเซียน ซึ่งหัวข้อหลักของการประชุมในปีนี้คือ Asian Leadership in an Uncertain World โดยนายกรัฐมนตรีจะเน้นย้ำถึงความยืดหยุ่นในการเมืองและเศรษฐกิจของไทย และโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้าง