นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงจุดยืนต่อนโยบายกัญชาว่า จะต้องเป็นไปตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาและประชาชน ซึ่ง รมว.สาธารณสุข แต่ละคนก็มีนโยบายต่างกัน แต่การจะนำกัญชากลับสู่ยาเสพติดนั้นต้องดูมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และต้องดูข้อมูลจาก ป.ป.ส.ที่ใช้ในการพิจารณาปลดล็อกว่าต่างกับข้อมูลในปัจจุบันอย่างไร สิ่งเหล่านี้ต้องหารือและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
หลังจากที่มีการปลดล็อกแล้วมีการคาดการณ์ว่าเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจมากถึงหมื่นล้านบาท ดังนั้นหากจะนำกลับเป็นยาเสพติดก็ต้องหาทางเยียวยาผู้ประกอบการเหล่านั้นด้วย
การออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จะเป็นอีกคำตอบของการควบคุมการใช้กัญชา ซึ่ง พรรคภูมิใจไทย ได้เสนอไปเมื่อสมัยรัฐบาลที่แล้ว แต่ถูกหักหลังโดยพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง เมื่อมาสมัยรัฐบาลนี้ พรรคก็ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวอีกครั้ง
ด้านนายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข จะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดว่า รมว.สาธารณสุข ควรจะมีการสำรวจ หลังจากปลดล็อคแล้วจะเป็นประโยชน์มากกว่าหรือไม่ อีกทั้งคนที่ลงทุนไปแล้วจะไปยืนอยู่ตรงไหน ส่วนเรื่องของยาบ้าตนเห็นด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมองว่าแนวทางของพรรคภูมิใจไทยก็คือ ควรจะให้ใช้อย่างระมัดระวังข้อดีของกัญชามี เพราะเป็นพืชสมุนไพร หากมองด้วยความรอบคอบก็จะสร้างประโยชน์มากกว่า
"เข้าใจว่าบางทีมีหลายมุม คณะกรรมการป.ป.ส.ชุดใหญ่ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน อยากเรียนว่า บางทีเราต้องหนักแน่น ยาบ้าก็ทำไป จาก 1 เม็ดมีเจตนาค้าก็ให้ยึดทรัพย์ แต่กัญชามีประโยชน์ มีการใช้กัญชาในทางเศรษฐกิจ จึงอยากให้สำรวจว่า ตั้งแต่มิถุนายน 2565 จนถึงปัจจุบัน มีจำนวนเท่าไหร่ขอให้สำรวจให้แน่นอนก่อนที่จะเอาคืนไป" นายคารม กล่าว
ส่วนเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องบาดหมางในรัฐบาลหรือไม่ นายคารม กล่าวว่า คงไม่บาดหมาง ที่จริงแล้วพรรคร่วมรัฐบาลก็จะเอานโยบายของแต่ละพรรคมารวมกัน เป็นนโยบายของรัฐบาล เพียงแต่เรื่องนี้แสดงความคิดเห็นได้ แต่ถ้าสุดท้ายจะเอาอย่างไร ก็เป็นนโยบายของรัฐบาล เพียงแต่เราต้องพูดเพราะถ้าเรากลับไปกลับมาจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี