นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่นิด้าโพลเปิดผลโพลในไตรมาส 2/2567 โดยพรรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 49.20% และ 45.50% ตามลำดับ ในขณะที่ความนิยมของนายเศรษฐา ทวีสิน ลดลงติดต่อกันกว่า 10% จากผลสำรวจปี 2566 มาอยู่ที่ 12.85% และความนิยมพรรคเพื่อไทยอยู่ที่ 16.85%ว่า ต้องขอยกความดีความชอบให้เพื่อนๆ พรรคก้าวไกลทุกคน รวมถึงทีมงานจังหวัด ทีมงานในพื้นที่ พนักงาน สมาชิกพรรค ว่าที่ผู้สมัคร และผู้แทนราษฎรที่ทำงานกันอย่างหนักและพิสูจน์ตัวเองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ประชาชนไว้วางใจ
และตนขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ร่วมกันทำโพล และให้ความไว้วางใจพรรคก้าวไกล พรรคก้าวไกลจะไม่ทำให้ทุกท่านต้องผิดหวัง และเป็นเครื่องเตือนใจให้ทำงานให้หนักขึ้น สมกับความคาดหวัง และยิ่งความคาดหวังมาก พวกเราก็ต้องทำงานหนักขึ้นให้เต็มที่
อย่างไรก็ดี โพลนี้ไม่ได้ดูที่ตัวเลขไตรมาสต่อไตรมาส แต่ต้องดูที่ความต่อเนื่อง และอัตราการเพิ่มหรือลด ซึ่งที่ยังรู้สึกเป็นกังวล คือคำตอบที่มาเป็นอันดับสองคือ "ยังหาบุคคลที่เหมาะสมไม่ได้" กว่า 20% ทำให้ตนนึกถึงเมื่อปี 2565-2566 ช่วงก่อนการเลือกตั้งที่มีตัวเลขนี้ไม่ถึง 20% นั้นแสดงออกได้หลายอย่าง คือตนต้องไปนั่งคิดและเตรียมกระบวนการในการทำงานเพื่อทำความเข้าใจว่า 20% อะไรที่ทำให้เขานอนไม่หลับ แล้วจะสามารถทำให้ 20% นี้ มารวมกับ 45% ของของเราให้ได้ เพื่อที่จะเปลี่ยนใจผู้คน ว่า พวกเรานี่แหละคือตัวแทนของเขา คือแคนดิเดตของเขา
อีกมุมหนึ่ง ส่วนตัวขอไม่ลงลึกว่าเป็นพรรคการเมืองไหนหรือบุคคลใด แต่ตัวเองกำลังมองทั้งระบบ ที่แสดงว่าการเมืองในระบบรัฐสภาอาจจะไม่ตอบโจทย์สำหรับพวกเขา ซึ่งก็ตรงกับที่พวกเราอธิบายเรื่องงบประมาณที่ผ่านมา ว่ายังรู้สึกว่ามีคนที่ถูกทอดทิ้ง และไม่มีปากไม่มีเสียงในระบบการเมืองไทยจริงๆ ตนจึงอยากรู้ว่า 20% นี้ จะสะท้อนอะไรหรือไม่ ในขณะที่มีรัฐบาลชุดใหม่มาแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขสมัยรัฐบาลประยุทธ์แล้วจะมีการขึ้นลงของตัวเลขนี้อย่างไรบ้าง
ส่วนความนิยมของรัฐบาลเศรษฐา ที่ผลโพลลดลงเรื่อยๆ จนล่าสุดตกอยู่ที่อันดับ 3 ในฐานะพรรคฝ่ายค้านมองปรากฏการณ์นี้อย่างไรบ้าง นายพิธาตอบว่า
"เรื่องนี้ผมคงจะพูดในมุมที่อยากจะพูดกับตัวเอง ว่าต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงานหนัก ไม่ได้ต้องรู้สึกผิดหวังจากตัวเลขที่ลดลง เพราะผมเองก็เคยผลโพลลดลงเช่นเดียวกัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ย่อท้อหรือรู้สึกอยากทำงานการเมืองหรือทำเพื่อประชาชนน้อยลง และไม่ได้รู้สึกเสียกำลังใจ เพราะในช่วงที่บ้านเมืองกำลังยากลำบากยากเข็ญขนาดนี้นั้นต้องมีกำลังใจที่ดี และมีความพร้อมที่จะทำงานเพื่อประชาชนอยู่เสมอ ซึ่งก็ขอเป็นกำลังใจให้นายกเศรษฐาครับ"