นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ย้ำถึง 9 แนวทางการต่อสู้คดียุบพรรคทั้งในแง่ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ประกอบด้วย
1. การพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลไม่มีอำนาจในการรับคำร้องไว้วินิจฉัย และไม่สามารถนำคดียุบพรรคอนาคตใหม่มาเป็นบรรทัดฐานหรือเหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องด้วยพรรคเข้าไปไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
2. การยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ที่ให้ยุติความเคลื่อนไหวในการแก้ไขมาตรา 112 ไม่ผูกพันการวินิจฉัยคดีนี้
4.การกระทำใด ๆ ตามคำร้องเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล
5.การที่ สส.เข้าชื่อแก้กฎหมายมาตรา 112 ไม่ได้เป็นการใช้กำลังบังคับ หรือการกระทำใช้ความรุนแรงเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขสิ้นสุดลง และในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยเสนอแก้ไขลดโทษในคดีมาตรา 112
6.การกระทำของพรรคก้าวไกลยังไม่รุนแรงถึงขั้นต้องยุบพรรค เพราะยังมีช่องทางในการระงับยับยั้งได้
7.หากศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจยุบพรรคก้าวไกล แต่ไม่มีสิทธิตัดสิทธิการเลือกตั้ง ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และต้องสมควรแก่เหตุ
8.ระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคต้องอยู่บนหลักความพอสมควรแก่เหตุ
9.การเพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้งเฉพาะกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในชุดที่ 1 และชุดที่ 2 ไม่รวมกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบัน
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ไม่สามารถก้าวล่วงคำตัดสินของศาล แต่พรรคมั่นใจในข้อเท็จจริง และข้อกฏหมายที่ได้อธิบายไป และเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับความยุติธรรมเหมือนพรรคหนึ่งที่เคยได้รับมาเมื่อ 14 ปีที่แล้ว และบรรทัดฐานในการพิจารณา เชื่อว่าจะเป็นไปตามหลักสากล และไม่กังวลเรื่องเหตุผลทางการเมืองจะนำมาใช้ในการพิจารณาคดีนี้ และเชื่อว่าศาลจะตัดสินตามข้อกฏหมาย
ส่วนการเตรียมแผนรองรับ หากคำตัดสินของศาลไม่เป็นคุณกับพรรคก้าวไกลนั้น นายพิธา กล่าวว่า มีคิดไว้ แต่ยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้ขอโฟกัสและใช้เวลาในการทำหน้าที่ สส.อย่างเต็มที่ และมีสมาธิ อย่างที่ประชาชน 14 ล้านคน เคยให้คะแนนเสียงมา โดยไม่ได้รู้สึกเสียสมาธิ หรือต้องทำอะไรเป็นพิเศษ
ส่วนที่มีกระแสการเคลื่อนไหวของประชาชนในวันตัดสินคดีนั้น นายพิธา กล่าวว่า ไม่สามารถคาดเดาแทนประชาชนได้ แต่หวังว่า ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี การเข้าถึงสิทธิการชุมนุม เป็นสิ่งที่ประชาชนทำได้ในระบอบประชาธิปไตยที่ไร้ความรุนแรง แต่พรรคก้าวไกล ไม่มีส่วนรวมในการสร้างความรุนแรงเกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคก้าวไกลแน่นอน
นายพิธา กล่าวว่า การที่พรรคเปิดให้มวลชนเข้ามาร่วมรับฟังการพิจารณาคดีในวันที่ 7 ส.ค. ไม่ได้เป็นการปลุกระดมมวลชน เพราะทุกคนมีสิทธิรวมรับฟังคำวินิจฉัยต่างๆได้อยู่แล้ว
ทั้งนี้ กระแสข่าวว่าพรรคก้าวไกล มีการดีลพรรคสำรองไว้ คือ "พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล" นั้น นายพิธา ยืนยันว่า พรรคยังไม่คิดถึงเรื่องพรรคสำรอง ยังขอโฟกัสกับการต่อสู้คดี และเมื่อถึงตอนนั้น ต้องพูดคุยอีกที ขณะนี้ในพรรคยังไม่มีมติใด ๆ ทั้งสิ้น และหากคำตัดสินไม่เป็นคุณ ตนก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคใหม่แล้ว แต่ยังเชื่อว่า วันพฤหัสบดีที่ 8 ส.ค. จะยังทำหน้าที่ฝ่ายค้านเหมือนเดิม พร้อมกับยืนยันว่า ไม่มีสส.ไหลออกจากพรรคตามที่มีกระแสข่าว ในพรรคยังมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว