นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวว่า กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องอาศัยเวลา หากเดินตามรูปแบบของรัฐบาลที่ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง ในขณะที่ 1 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ จึงทำให้เวลาถูกบีบ และตัวแปรมีมากเกินกว่าจะฟันธงกรอบเวลาการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในช่วง 3 ปีที่เหลือของรัฐบาลชุดนี้
"ยอมรับกังวลใจ มีความเสี่ยงหากรัฐบาลไม่วางแผนอย่างรอบคอบ อาจจะไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บังคับใช้ก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไปอย่างที่รัฐบาลเคยสัญญาไว้ ฝ่ายค้านไม่ได้นิ่งนอนใจรอชมอย่างเดียว และพยายามยื่นข้อเสนอ และเร่งรัดกระบวนการตรงนี้ให้รัฐบาลดำเนินการโดยเร็วที่สุด" นายพริษฐ์กล่าว
สำหรับการยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ของพรรคประชาชนนั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า เป็นการเดินคู่ขนานเร่งรัดกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยโดยเร็ว ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ในประเด็นที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งพรรคฯ ได้ยื่นร่างแก้ไขประเด็นการลบล้างผลพวงจากรัฐประหาร, ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, ยกเลิกมาตรามาตรา 279 ที่เกี่ยวกับประกาศและคำสั่ง คสช. รวมถึงเพิ่มหมวดการป้องกันรัฐประหารไปแล้ว คาดว่าจะพิจารณาในวันที่ 25 ก.ย.นี้
ส่วนร่างแก้ไขเพิ่มเติมที่กำลังดำเนินการ คือ การแก้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ โดยมี 2 ประเด็น ได้แก่ 1.ทบทวนแก้ไขอำนาจการยุบพรรค ซึ่งจะต้องมีการยื่นร่างแก้ไข พ.ร.ป.พรรคการเมือง เพื่อให้สถาบันการเมืองยึดโยงกับประชาชน รวมถึงเงื่อนไขการยุบพรรค ซึ่งคาดว่าจะมีร่างฉบับกลางที่เซ็นร่วมกันในกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมืองฯ และอาจจะมีร่างของพรรคการเมืองอื่นยื่นประกบ
2.ทบทวนอำนาจเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรม ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในรัฐธรรมนูญ 2560 โดยต้องการให้ผู้ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ สามารถปฏิบัติงานด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างสุจริต แต่การที่รัฐธรรมนูญ 2560 นำมาตราฐานทางจริยธรรมมาบรรจุในกฎหมาย อาจเกิดปัญหาได้ เพราะเป็นเรื่องที่มีความเป็นนามธรรมสูง แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน แต่กลับให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ผูกขาดนิยามมาตรฐานทางจริยธรรม และบังคับใช้กับทุกองค์กร
ดังนั้นเมื่อมีการยื่นเรื่องให้วินิจฉัย องค์กรที่วินิจฉัยไต่สวนคือศาลรัฐธรรมนูญ เรามองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา จึงเสนอให้เปลี่ยนเป็นความรับผิดชอบทางการเมือง เช่น หากเกิดกรณีการแต่งตั้งบุคคลมาเป็นรัฐมนตรี จะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อกระแสข้อวิจารณ์ทางสังคม ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลไปถึงคูหาเลือกตั้ง
"สิ่งที่เรามองว่าเป็นปัญหา คือ การนำเรื่องที่เป็นนามธรรมในจริยธรรมกำหนดไว้ในตัวบทกฎหมาย และให้อำนาจกับองค์กรกลุ่มเดียวในการนิยามมีบทบาทหลักในการตีความวินิจฉัย สิ่งที่ต้องการเห็น คือ การปรับปรุงกำกับจริยธรรม อย่างแรกมองว่าเรื่องจริยธรรมสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สิ่งสำคัญ คือความรับผิดรับผิดชอบทางการเมือง" นายพริษฐ์ กล่าว
ส่วนร่างแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นเดียวกันของพรรคอื่นนั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ต้องดูเนื้อหารายละเอียด แต่มองว่าหลายพรรคเห็นปัญหาคล้ายกัน แต่แนวทางการแก้ไขอาจแตกต่าง อย่างไรก็ตาม ทุกพรรคการเมืองที่ยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จะไปจบที่การพิจารณาร่วมกันในที่ประชุมรัฐสภา หากภาพรวมเห็นปัญหาตรงกัน แต่แตกต่างกันในรายละเอียด มองว่าเป็นโอกาสดีที่จะรับประกัน และถกเถียงเพิ่มเติมในชั้น กมธ.
ส่วนกรณีที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่ารัฐบาลชุดนี้ยังมีจุดยืนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เหมือนเดิม คือไม่แก้หมวด 1 และหมวด 2 นายพริษฐ์ กล่าวว่า จุดยืนของพรรคประชาชนยังคงเหมือนเดิม ซึ่งเห็นต่างกับทางรัฐบาล ทั้งนี้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านมา ยังไม่เคยเห็นการยกเว้นปรับปรุงเนื้อหาหมวด 1 เพียง แต่วางกรอบไว้ว่าการแก้ไขจะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองหรือรูปแบบรัฐ อีกทั้งที่ผ่านมา ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็มีการปรับปรุงหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองแต่อย่างใด
ส่วนคำถามประชามติ พรรคประชาชนให้ความสำคัญ แม้รัฐบาลจะมีจุดยืนไม่ต้องการแก้ไขเนื้อหาในหมวด1 และหมวด 2 แต่คำถามประชามติควรถามในลักษณะที่เปิดกว้าง และไม่นำเงื่อนไขดังกล่าวมากำหนดไว้ในคำถาม หากรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังคงยืนยันประเด็นคำถามเดิม ซึ่งเป็นการถาม 2 เรื่องในคำถามเดียวกัน กังวลว่าจะเกิดความไม่ชัดเจนกับประชาชนที่เห็นด้วยในบางส่วนของคำถาม ทำให้ส่งผลไปถึงการลงประชามติ ซึ่งพรรคประชาชนประเมินว่า โอกาสที่จะทำให้ประชามติผ่านความเห็นชอบลดน้อยลง
นายพริษฐ์ กล่าวว่า หลังจากนี้คงต้องมีการพูดคุยกันทุกฝ่าย และมองว่าในวันที่ 25 ก.ย.นี้ จะเป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นสภาชุดใหม่เข้ามามีส่วนการพิจารณารัฐธรรมนูญ ต้องดูท่าทีการอภิปรายและการแสดงความเห็น รวมถึงการลงมติ ว่ามีจุดยืนอย่างไร
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการพูดคุยกับ สว. แต่คาดหวังว่าร่างแก้ไขเพิ่มเติมที่บรรจุระเบียบวาระไว้แล้ว ซึ่งมีเรื่องลบล้างผลพวงจากการทำรัฐประหาร ป้องกันการทำรัฐประหารในอนาคต รวมถึงลบล้างผลพวงคำสั่ง คสช. ทุกฝ่ายทางการเมืองจะมีจุดร่วมกัน เพื่อรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย และไม่ต้องการให้เกิดรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคต แม้จะเห็นต่างกันเชิงนโยบาย