นายนิกร จำนง ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงการพิจารณาพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติว่า หากทำเสร็จตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะสภาไม่เปิดสมัยวิสามัญ จึงต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์และศึกษาให้ชัดเจน ซึ่งในช่วงปิดสมัยประชุมจะดำเนินการให้คืบหน้าได้มากที่สุด เพราะกรรมาธิการของทั้ง 2 ฝ่าย อีกฝ่ายหนึ่งก็กลัวว่าถ้าใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งจะไม่ผ่านเพราะประชาชนจะออกมาใช้สิทธิ์กันน้อย แต่อีกฝ่ายก็มีความเห็นว่า เป็นเรื่องที่สำคัญของประเทศ จึงควรกลับไปใช้ Double majority เฉพาะเรื่องรัฐธรรมนูญ
การพิจารณา พ.ร.บ.ดังกล่าวควรจะทำให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเปิดสมัยประชุมสามัญ เมื่อได้ข้อสรุปของกรรมาธิการร่วมกันแล้วก็ต้องนำเข้าที่ประชุมของสภาผู้แทนราษฎร และส่งต่อไปยังวุฒิสภาอีกครั้ง แต่ถ้าไม่เห็นชอบสภาใดสภาหนึ่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะถูกล็อค 180 วัน และเมื่อครบ 180 วัน สภาผู้แทนราษฎรจะเอา พ.ร.บ.ของตนเองมาใช้ก็ไม่จำเป็นต้องผ่านที่ประชุมของวุฒิสภา ซึ่งตนก็เป็นกังวลว่าจะเป็นปัญหา เพราะไม่อยากให้มีปัญหา ควรจะคุยกันให้ได้มากที่สุดโดยใช้เวลาตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด
"คาดว่าน่าจะมีการประชุม 4-5 ครั้ง ก่อนที่สภาจะเปิดสมัยสามัญ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบ ยังไงก็ไม่ทันที่จะทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งท้องถิ่นในช่วงต้นปี 68 อยู่แล้ว รัฐบาลจะต้องไปกำหนดวันทำประชามติเองออกค่าใช้จ่ายเองดำเนินการเองทั้งสิ้นจะไปพ่วงกับอย่างอื่นไม่ได้ เพราะเวลาไม่ทัน" นายนิกร กล่าว
ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่คงเกิดขึ้นไม่ทันในสมัยรัฐบาลนี้ เมื่อรวมเวลาแล้วรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ไม่ทันในการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน แต่การเลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะมีการทำประชามติพ่วงไปด้วยก็จะเป็นเรื่องดี เพราะถ้าให้ทันกับรัฐบาลชุดนี้จะต้องมีรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อใช้ในช่วงเดือน เม.ย.70 แต่การเลือกตั้งทั่วไปก็จะต้องมีกฎหมายลูกอีก
"การเลือกตั้งทั่วไปยังไงรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ไม่ทัน ยังต้องใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแน่นอน เพราะจะเร่งยังไงก็คงเร่งไม่ทัน" นายนิกร กล่าว