นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ออกหนังสือขอเข้าพบนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ หวังร่วมหาทางออกให้ประเทศมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป โดยระบุว่า ณ เวลานี้ เกือบเป็นที่แน่นอนแล้ว ว่าหากรัฐบาลเดินตาม "แผนเดิม" เราจะไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ที่ถูกจัดทำโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ) บังคับใช้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป ตามนโยบายที่รัฐบาลเคยได้ประกาศไว้
"แผนเดิม" ที่ว่านี้ คือแผนที่ครม.เศรษฐา มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 67 (ซึ่ง ครม. แพทองธาร ยังไม่เคยสื่อสารว่ามีแผนที่เปลี่ยนแปลงไป) ให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ประกอบไปด้วยการทำประชามติจำนวน 3 ครั้ง โดยกำหนดว่าจะไม่มีการจัดประชามติครั้งแรก จนกว่าร่างแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ จะมีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย
แต่ ณ ปัจจุบัน การพิจารณาร่างร่างแก้ไข พ.ร.บ. ยังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากความเห็นที่แตกต่างกัน ระหว่างสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา จนทำให้ประชามติรอบแรกยากที่จะเกิดขึ้นทันช่วงเดียวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นใน ก.พ.68 (ซึ่งเป็นแผนเดิมของรัฐบาล) ดังนั้น เห็นว่าหากรัฐบาลยังต้องการบรรลุเป้าหมายในการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บังคับใช้ก่อนการเลือกตั้ง รัฐบาลจำเป็นต้องคิด "แผนใหม่" โดยในบรรดาทางเลือกที่เหลืออยู่ เห็นว่าทางเดียวที่เป็นไปได้ คือ การลดจำนวนประชามติจาก 3 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง
นายพริษฐ์ ระบุว่า ขั้นตอนแรกของกระบวนการดังกล่าว คือ การให้รัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1) แม้พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ต่างได้ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญลักษณะดังกล่าว สู่รัฐสภาตั้งแต่ต้นปี 2567 แต่รัฐสภายังไม่ได้มีโอกาสพิจารณาร่างเหล่านั้น เพราะประธานรัฐสภาตัดสินใจไม่บรรจุร่างดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 ซึ่งยังมีการตีความที่แตกต่างกันระหว่างสมาชิกรัฐสภาและภายในสังคม
แม้เคยอภิปรายโดยละเอียดว่า ทำไมเห็นว่าการเดินหน้าด้วยกระบวนการประชามติ 2 ครั้ง และการบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. เข้าสู่รัฐสภา สอดคล้องกับกฎหมายและคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญทุกประการ แต่เพื่อทำความเข้าใจ และหาทางออกร่วมกับทุกฝ่าย ตน และ กมธ. พัฒนาการเมือง จึงได้ทำหนังสือขอเข้าพบกับ 3 บุคคลสำคัญ เพื่อร่วมหารือถึงทางออก และ "แผนใหม่" ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ทันก่อนการเลือกตั้ง ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรี (ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล) โดยส่วนตัว หวังจะหารือกับทุกพรรคการเมืองในรัฐบาล ให้เห็นตรงกันถึงความจำเป็นและความเหมาะสมในการเดินหน้า ด้วยแผนการทำประชามติ 2 ครั้ง (รวมถึงร่วมกันหาวิธีการในการหารือกับ สว.ให้เห็นไปในทิศทางเดียวกัน)
2. ประธานรัฐสภา โดยส่วนตัว หวังจะหารือให้ประธานรัฐสภา เห็นว่าการทบทวนหันมาบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. ของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา (ซึ่งจะลดจำนวนประชามติจาก 3 เหลือ 2 ครั้ง) สอดคล้องกับกฎหมาย และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
3. ประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยส่วนตัว หวังจะหารือให้ศาลรัฐธรรมนูญ ขยายความความหมายของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ากระบวนการและขั้นตอนในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องประกอบด้วยการทำประชามติจำนวนกี่ครั้ง
"หวังว่าทั้ง 3 ท่าน จะยินดีให้ กมธ.พัฒนาการเมืองฯ เข้าพบท่าน หรือตัวแทนของท่าน ที่สามารถตัดสินใจหรือให้ความเห็นแทนท่านได้ เพื่อร่วมหารือถึงทางออกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป ซึ่งเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลเคยสัญญาไว้กับประชาชนและต้องอาศัยหลายภาคส่วน ในการจับมือกันเดินหน้าไปด้วยกัน" นายพริษฐ์ ระบุ